คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 383/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยขับรถยนต์ไปด้วยความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงผู้ตายได้วิ่งไล่ตี ช. ข้ามถนนตัดหน้าช่องเดินรถที่จำเลยขับไปแล้ว แต่ได้มีรถยนต์อีกคันหนึ่งแล่นมา ผู้ตายจึงชะงักและถอยหลังเข้ามาทางช่องเดินรถของจำเลยโดยกะทันหัน และในระยะกระชั้นชิดทำให้จำเลยไม่สามารถหยุดรถหรือหลบไปทางอื่นได้ทันท่วงทีและในภาวะเช่นนั้นจำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่า จะมีคนวิ่งข้ามถนนตัดหน้าช่องเดินรถที่จำเลยขับไปแล้วกลับชะงัก และถอยหลังเข้ามาขวางหน้ารถยนต์ที่จำเลยขับไปอีก การที่จำเลยขับรถยนต์ชนผู้ตายจึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยไม่อาจป้องกันได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ด้วยความประมาท ปราศจากความระมัดระวัง กล่าวคือ จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูง เมื่อถึงที่เกิดเหตุจำเลยเห็นคนกำลังเดินข้ามถนน จำเลยควรชะลอความเร็วของรถเพื่อให้คนข้ามถนนไปก่อน แต่จำเลยกลับขับรถยนต์พุ่งไปด้วยความเร็วสูงเป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับชนชายไม่ทราบชื่อถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 1 ปี ปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยว่าจำเลยขับรถยนต์ชนผู้ตายด้วยความประมาทหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่าจำเลยขับรถยนต์คันเกิดเหตุด้วยความเร็วสูงมาก โจทก์คงมีแต่ร้อยตำรวจเอกวินัย สุขรัศมีเจ้าพนักงานตำรวจผู้ทำการตรวจพิสูจน์รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 3ฉ-5430 กรุงเทพมหานคร ของจำเลยหลังจากเกิดเหตุมาเบิกความว่าความเสียหายจากการชนของรถยนต์จำเลยจากประสบการณ์ของพยานแสดงว่ารถยนต์ดังกล่าวใช้ความเร็วขณะชนเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเห็นว่า คำเบิกความของร้อยตำรวจเอกวินัยดังกล่าวเป็นการคาดคะเนจากความเสียหายของรถยนต์หลังจากการชน โดยร้อยตำรวจเอกวินัยมิได้เห็นจำเลยขับรถด้วยตนเองและมิได้ไปดูสถานที่เกิดเหตุด้วยและเห็นว่าความเสียหายของรถยนต์ที่เกิดจากการชนจะมีมากน้อยเพียงใดนั้น นอกจากความเร็วของรถและความแรงของการชนแล้วยังขึ้นอยู่กับโลหะและวัสดุที่ใช้ในการผลิตรถยนต์แต่ละชนิดแต่ละยี่ห้อด้วย หากโลหะและวัสดุที่ใช้ในการผลิตรถยนต์ไม่แข็งแม้จะชนไม่แรงความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจจะมีมาก แต่ถ้าโลหะและวัสดุที่ใช้ในการผลิตรถยนต์แข็งแม้จะชนโดยแรงความเสียหายก็จะมีไม่มาก ร้อยตำรวจเอกวินัยมิได้ให้เหตุผลว่ารถยนต์ของจำเลยทำด้วยโลหะและวัสดุชนิดใด จึงยังฟังตามคำของร้อยตำรวจเอกวินัยไม่ได้ว่าในขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงเกินกว่า60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่าขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์ด้วยความเร็วเท่าใด นอกจากนี้ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.5 มีรอยห้ามล้อของรถยนต์จำเลยก่อนถึงจุดชนยาวประมาณ 10 เมตร รถยนต์ของจำเลยจอดอยู่ตรงจุดที่ชนผู้ตาย โดยหัวรถยนต์เฉียงไปทางด้านซ้ายของถนน การที่รถยนต์ของจำเลยหยุดตรงจุดที่ชนผู้ตายยิ่งสนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยมิได้ขับรถด้วยความเร็วสูง เหตุที่จำเลยขับรถยนต์ชนผู้ตายนั้นได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจโทพิจิตร อังศุพาณิชย์พนักงานสอบสวนที่ตอบคำถามค้านพยานจำเลยว่าผู้ตายเป็นคนวิกลจริตจากการสอบสวนนายชรินทร์ พยานให้การว่าผู้ตายวิ่งตัดหน้าช่องเดินรถของรถยนต์จำเลยไปแล้ว ผู้ตายเห็นรถยนต์อีกคันหนึ่งแล่นมาผู้ตายชะงักและถอยหลังมาถูกรถยนต์ที่จำเลยขับชนตามรายงานการชันสูตรพลิกศพผู้ตายเอกสารท้ายฟ้องก็ระบุเหตุและพฤติการณ์ที่ตายว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุผู้ตายได้วิ่งไล่เอาไม้ตีนายชรินทร์ไป นายชรินทร์ได้วิ่งหนีข้ามถนน ผู้ตายวิ่งตามไปแล้ววิ่งย้อนกลับมาจึงถูกรถยนต์ที่จำเลยขับมาชนถึงแก่ความตาย พยานโจทก์ดังกล่าวเจือสมข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าวันเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์ไปตามถนนเพชรเกษมด้วยความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผู้ตายได้วิ่งไล่ตีชายคนหนึ่งจากฝั่งถนนด้านขวามือของจำเลยตัดหน้าช่องเดินรถของรถยนต์จำเลยไปแต่ได้มีรถยนต์อีกคันหนึ่งแล่นมา ผู้ตายจึงถอยหลังกลับมาทางช่องเดินรถของจำเลย จำเลยหักรถหลบไปทางซ้ายแต่ไม่พ้นจึงชนผู้ตาย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามข้อนำสืบของจำเลยว่าในวันเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์ไปด้วยความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผู้ตายได้วิ่งไล่ตีนายชรินทร์ข้ามถนนตัดหน้าช่องเดินรถที่จำเลยขับไปแล้ว แต่ได้มีรถยนต์อีกคันหนึ่งแล่นมาผู้ตายจึงชะงักและถอยหลังกลับเข้ามาทางช่องเดินรถของจำเลยโดยกะทันหันและในระยะกระชั้นชิดทำให้จำเลยไม่สามารถหยุดรถหรือหลบไปทางอื่นได้ทันท่วงที และในภาวะเช่นนั้นจำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่าจะมีคนวิ่งข้ามถนนตัดหน้าช่องเดินรถที่จำเลยขับไปแล้วกลับชะงักและถอยหลังเข้ามาขวางหน้ารถยนต์ที่จำเลยขับไปอีกการที่จำเลยขับรถยนต์ชนผู้ตายจึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยไม่อาจป้องกันได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนผู้อื่นถึงแก่ความตายดังที่โจทก์ฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share