คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4307/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีเดิมโจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมและเป็นทางจำเป็น ในชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยตกลงให้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่า ที่ดินตกอยู่ในภาระจำยอมหรือไม่และศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าทางพิพาทไม่เป็นทางภาระจำยอมดังนี้ ถือได้ว่าประเด็นเรื่องทางจำเป็นนั้นคู่ความได้สละแล้วจึงไม่เป็นประเด็นอีกต่อไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เปิดทางพิพาทโดยอ้างว่าเป็นทางจำเป็นได้อีก เพราะประเด็นต่างกับคดีเดิมไม่เป็นฟ้องซ้ำ เมื่อทางพิพาทเป็นทางจำเป็น และโจทก์ได้ใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกทางพิพาทมาเป็นเวลาหลายปี โจทก์จึงมีสิทธิใช้ทางจำเป็นดังกล่าวกว้าง 2 เมตรเพื่อให้รถยนต์ซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นในปัจจุบันเข้าออกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349และสิทธิใช้ทางดังกล่าวเป็นผลโดยอำนาจของกฎหมายไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ได้ใช้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางภาระจำยอมและทางจำเป็น ต่อมาจำเลยปิดกั้นทางพิพาท และเปิดช่องทางใหม่แคบกว่าเดิม ขอให้เปิดทางพิพาทและรื้อถอนสิ่งปิดกั้นจำเลยให้การว่าเป็นฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยเปิดทางพิพาท และจดทะเบียนเป็นทางจำเป็นกับให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปิดกั้นโดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมนายณรงค์ทองสัมฤทธิ์ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่ 6964ตำบลคลองกระแชง อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 8229 ให้เปิดทางกว้าง3 เมตร โดยอ้างว่าเป็นทางภาระจำยอมและเป็นทางจำเป็น ศาลชั้นต้นฟังว่าทางพิพาทไม่เป็นทางภาระจำยอม พิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 401/2523 ต่อมาโจทก์ทั้งห้าซึ่งถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวร่วมกับนายณรงค์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีก ขอให้เปิดทางกว้าง 2 เมตร โดยอ้างว่าเป็นทางภาระจำยอมและเป็นทางจำเป็น คดีคงมีปัญหาในชั้นฎีกาว่าคำฟ้องเกี่ยวกับทางจำเป็นเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ เห็นว่า แม้คำฟ้องคดีเดิมจะอ้างว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นด้วย แต่ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2522 ระบุว่า คู่ความตกลงกันให้ศาลชั้นต้นกะประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าที่ดินของจำเลยตกอยู่ในภาระจำยอมหรือไม่ แล้วศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามประเด็นดังกล่าวเพียงข้อเดียวดังนั้น คำฟ้องในคดีนั้นในประเด็นที่ว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ ถือได้ว่าคู่ความสละแล้ว ไม่เป็นประเด็นอีกต่อไป และถือไม่ได้ว่าศาลวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวด้วย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เปิดทางพิพาทในที่ดินดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นทางจำเป็นได้อีกถือไม่ได้ว่าเป็นฟ้องซ้ำ เพราะประเด็นต่างกัน ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาว่า ทางพิพาทมีความกว้างเท่าใด ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยจำเลยมิได้ฎีกาว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น และโจทก์นำสืบฟังได้ว่า โจทก์มีความจำเป็นต้องใช้ทางพิพาทกว้าง 2 เมตร เพื่อนำรถยนต์เข้าออก และได้ใช้รถยนต์ผ่านทางพิพาทระหว่างที่จำเลยก่อสร้างตึกแถวเป็นเวลาหลายปีเมื่อพฤติการณ์เป็นเช่นนี้เท่ากับจำเลยยอมรับว่า โจทก์มีความจำเป็นต้องใช้ทางกว้าง 2 เมตร จึงไม่ได้โต้แย้งในขณะที่โจทก์ใช้ทางกว้าง2 เมตร ตามที่จำเลยเปิดไว้ ทั้งการใช้รถยนต์ในปัจจุบันถือได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็น โจทก์จึงมีสิทธิใช้ทางจำเป็นกว้าง 2 เมตร เพื่อให้รถยนต์เข้าออกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349ส่วนปัญหาเรื่องเงินค่าทดแทนจำเลยมิได้ฟ้องแย้งไว้ จึงไม่มีประเด็นในชั้นนี้ เมื่อทางพิพาทเป็นทางจำเป็นโจทก์มีสิทธิใช้ทางโดยอำนาจของกฎหมายไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนอีกที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนเป็นทางจำเป็นนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยและที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนสิ่งปิดกั้นโดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเองนั้น เห็นว่าโจทก์ชอบที่จะดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 298 ที่แก้ไขใหม่โจทก์จะขอเป็นผู้รื้อถอนเองหาได้ไม่”
พิพากษาแก้เป็นว่า คำขอจดทะเบียนทางเดินและคำขอที่ขอให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนสิ่งปิดกั้นโดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายให้ยกนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share