คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4304/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความ แต่มีบันทึกคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนและคำเบิกความของผู้เสียหาย ในคดีที่พวกของจำเลยถูกฟ้องในเหตุการณ์เดียวกันมาส่งอ้างต่อศาล ซึ่งผู้เสียหายยืนยันว่า จำเลยร่วมเป็นคนร้ายคนหนึ่งด้วย ทันที ที่ผู้เสียหายหลบหนีจากจำเลยกับพวกกลับมาถึงบ้านได้ไปแจ้งความ ต่อพนักงานสอบสวน และให้ถ้อยคำยืนยันเหตุการณ์และ รายละเอียดของพฤติการณ์ต่าง ๆ มาโดยตลอด เมื่อฟังประกอบ พยานโจทก์คนอื่น ๆ ซึ่งเป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมและใกล้ชิด กับเหตุการณ์แล้ว มีน้ำหนักฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้าย จำเลยกับพวกบุกรุกเข้าไปฉุด ผู้เสียหายและพาออกจากบ้าน ระหว่างทางจำเลยกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้วพาตัวผู้เสียหายไปกักขังไว้ การกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงเป็น การกระทำความผิดต่อตัวผู้เสียหายโดยตรงต่อเนื่องกันไปไม่ขาดตอน โดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลในการที่จะเอาตัวผู้เสียหายไปข่มขืน กระทำชำเรา แม้จำเลยกับพวกจะกักตัวผู้เสียหายไว้อีก ก็เนื่องมาจากความประสงค์เดียวกันทั้งสอง การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหลายหลายบท ต้องลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มี โทษหนักที่สุด ส่วนการที่จำเลยพรากผู้เสียหายไปจากมารดา ของผู้เสียหายนั้น แม้จะเป็นการกระทำในคราวเดียวกัน แต่ความผิด ฐานนี้เป็นความผิดที่ได้กระทำต่อมารดา ผู้เสียหาย จึงถือได้ว่าจำเลย มีเจตนากระทำความผิดให้เกิดผลเป็นกรรมในความผิดต่างฐาน ต่างหากจากกัน มิใช่ความผิดกรรมเดียวกับความผิดข้างต้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 278, 284, 310, 318, 362, 364, 365, 83, 90, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง, 284 วรรคหนึ่ง, 310 วรรคหนึ่ง, 318 วรรคสาม,362, 364, 365(1)(2)(3) เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร หน่วงเหนี่ยว กักขังผู้อื่น พรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารและบุกรุก เป็นกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารอันเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 8 ปี ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงจำคุก 16 ปี รวมจำคุก 24 ปี คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 18 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะผู้เสียหายนอนหลับอยู่ภายในบ้าน มีชายคนร้ายสองคนงัดฝาบ้านและเข้าทางประตูบ้านไปฉุด ผู้เสียหายออกจากบ้านพาเดินไปทางท่าเรือระหว่างทางคนร้ายทั้งสองฉุด ผู้เสียหายเข้าไปในป่าละเมาะข้างทางแล้วผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายคนละ 1 ครั้ง จนสำเร็จความใคร่ ต่อจากนั้นคนร้ายทั้งสองพาผู้เสียหายไปที่ท่าเรือซึ่งมีชายคนร้ายอีกคนหนึ่งจอดเรือคอยอยู่แล้วคนร้ายทั้งสองคนพาผู้เสียหายนั่งเรือไป และกักตัวผู้เสียหายไว้ ต่อมาวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 12 นาฬิกา ผู้เสียหายหลบหนีจากสถานที่ที่ถูกคนร้ายกักตัวและกลับมาถึงบ้านผู้เสียหายเมื่อเวลา 18 นาฬิกาของวันเดียวกัน ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งที่กระทำผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่เห็นว่า คดีนี้โจทก์ไม่ได้ตัวนางสาววันเพ็ญ แสงโรจน์ผู้เสียหายมาเบิกความเป็นประจักษ์พยาน แต่โจทก์มีบันทึกคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้เสียหายไว้ในวันถัดจากวันเกิดเหตุ และบันทึกคำเบิกความของผู้เสียหายในคดีที่นายสกลหรือเขียดหรือเกียรติ สุพรรณยัคฆ์ ถูกฟ้องเป็นจำเลยในกรณีเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3903/2535 ของศาลชั้นต้นอ้างเป็นพยาน ซึ่งบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าวได้จัดทำขึ้นทันทีทันใด หลังเกิดเหตุอันเป็นเวลาใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันไป ผู้เสียหายยังไม่มีเวลาและโอกาสที่จะตัดต่อเติมเสริมแต่งหรือปั้นเรื่องการเป็นอย่างอื่นเพื่อปรักปรำใส่ความจำเลย และในบันทึกดังกล่าวผู้เสียหายบอกเล่าเหตุการณ์รายละเอียดและขั้นตอนการกระทำผิดของจำเลยกับพวกโดยตลอดว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่เข้ามาทางประตูและจำเลยเป็นคนข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นคนแรกในป่าละเมาะข้างทางขณะที่พวกของจำเลยจับขาของผู้เสียหายไว้ และเมื่อผู้เสียหายมาเบิกความในคดีที่นายสกลถูกฟ้องข้างต้น ผู้เสียหายก็เบิกความยืนยันว่าจำเลยร่วมเป็นคนร้ายด้วยโดยให้ถ้อยคำบอกเล่าเหตุการณ์สอดคล้องตรงกันกับบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าวเมื่อพิเคราะห์ถึงว่าผู้เสียหายเคยรู้สึกจำเลยมาก่อน ไม่เคยมีสาเหตุบาดหมางโกรธเคืองกันและจากคำเบิกความของผู้เสียหาย ในห้องนอนของผู้เสียหายเปิดไฟฟ้าไว้และจำเลยกับพวกมิได้ปกปิดหรืออำพรางรูปร่างหน้าตา ประกอบกับผู้เสียหายมีเวลาและโอกาสอยู่กับจำเลยกับพวกเป็นระยะเวลานานพอที่จะสังเกตจดจำจำเลยกับพวกได้ จึงเชื่อว่าผู้เสียหายจำจำเลยได้จริงและเบิกความไปตามความจริงที่รู้เห็นเกี่ยวข้องบันทึกคำให้การและบันทึกคำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวข้างต้น จึงมีเหตุผลและมีน้ำหนักรับฟังได้ และจากคำเบิกความของนางถาวรหรือเล็ก ก้อนฤทธิ์ พยานโจทก์ซึ่งมีบ้านอยู่ห่างจากบ้านผู้เสียหาย 3 หลัง เบิกความว่าในคืนวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 22 นาฬิกา จำเลยกับพวกซึ่งพยานกับสามีรู้จักมักคุ้นดีมาเรียกที่บ้านสอบถามหาสามีพยานและพยานบอกว่าสามีพยานไม่อยู่บ้าน จำเลยกับพวกก็พากันกลับไป ระยะเวลาที่นางถาวรพบเห็นจำเลยกับพวกดังกล่าวใกล้เคียงกับเวลาเกิดเหตุที่ผู้เสียหายเบิกความไว้ว่า เหตุเกิดประมาณเวลา 23 นาฬิกา อันเป็นระยะเวลาที่ไม่ห่างกันมากนัก นางถาวรและสามีรู้จักมักคุ้นกับจำเลยมาก่อนและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน ประกอบกับจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งคัดค้านคำเบิกความของนางถาวรไว้คำเบิกความของนางถาวรจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า ในเวลาใกล้เคียงกับเวลาเกิดเหตุจำเลยกับพวกอยู่แถวบริเวณบ้านผู้เสียหายนอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของนางระเบียบ ก้อนฤทธิ์ มารดาผู้เสียหายว่า เมื่อกลับจากการไปเผาถ่านมาถึงบ้านเวลาประมาณ 5 นาฬิกา เห็นฝาบ้านซึ่งเป็นฝาไม้อัดมีรอยงัดและผู้เสียหายหายไปเมื่อสอบถามไม่มีผู้ใดพบเห็นจึงบอกให้นายเศกสรร แสงโรจน์ พี่ชายผู้เสียหายทราบและออกติดตามหาตัวผู้เสียหาย นายเศกสรรและผู้ใหญ่บ้านตามไปที่บ้านของจำเลยเนื่องจากสงสัยว่าจำเลยกับพวกจะเป็นผู้พาตัวผู้เสียหายไปเมื่อพบตัวจำเลย จำเลยกระโดดน้ำหลบหนีไปได้ คงจับตัวนายสกลหรือเขียดหรือเกียรติได้คนเดียว และเมื่อผู้เสียหายหลบหนีกลับมาบ้านได้ ผู้เสียหายร้องไห้และบอกเล่าเหตุการณ์ให้นางระเบียบฟังทันทีว่า ถูกจำเลยกับพวกฉุดไปข่มขืนกระทำชำเราและกักตัวไว้ตรงกันกับบันทึกคำให้การและบันทึกคำเบิกความของผู้เสียหายและยังได้ความจากคำเบิกความของนางระเบียบอีกว่า เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตัวนายกุศลพวกของจำเลยคนหนึ่งได้นายกุศลยอมรับกับนางระเบียบว่าในคืนเกิดเหตุมากับจำเลยและนายสกลหรือเขียดหรือเกียรติ คำเบิกความของนางระเบียบแม้จะเป็นพยานบอกเล่ารับฟังมาจากนายกุศลอีกทอดหนึ่ง แต่นางระเบียบเบิกความยืนยันว่านายกุศลได้บอกเล่าดังกล่าวจริงจึงมีน้ำหนักรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ นายเศกสรรเป็นเพื่อนของจำเลยมาก่อน เมื่อจำเลยเห็นนายเศกสรรและผู้ใหญ่บ้าน จำเลยกลับกระโดดน้ำหลบหนีไปทันที และเมื่อนายดาบตำรวจทรงศักดิ์ สันตานนท์ ติดตามไปจับกุมจำเลยจำเลยก็วิ่งหลบหนีกิริยาอาการของจำเลยดังกล่าวจึงส่อเป็นพิรุธแสดงว่าจำเลยรู้ตัวว่าได้กระทำผิดจริงจึงได้หลบหนีเพื่อให้พ้นการจับกุม และยังปรากฏว่าในชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพ โดยไม่ปรากฏว่าได้มีการบังคับขู่เข็ญหรือทำร้ายให้จำเลยรับสารภาพโดยไม่สมัครใจ จำเลยเพิ่งจะมากล่าวอ้างลอย ๆ ในภายหลังว่าคำรับสารภาพชั้นจับกุมไม่เป็นความจริงเท่านั้น คำเบิกความของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักที่จะเชื่อถือ ที่จำเลยอ้างว่าไปเฝ้าบ่อกุ้งให้พี่ชายและพี่สะใภ้โดยมีนางธัญใจ สุธรรมมา พี่สะใภ้จำเลยมาเบิกความเป็นพยานนั้น เห็นว่า พยานจำเลยเป็นญาติใกล้ชิดเกี่ยวข้องกับจำเลย อาจจะเบิกความเข้าข้างเพื่อช่วยเหลือให้จำเลยพ้นความผิดคำเบิกความของพยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักรับฟังและที่จำเลยโต้แย้งว่าผู้เสียหายใส่ความจำเลยเพราะไม่มีความจำเป็นต้องงัดฝาบ้าน เพราะอาจเข้าทางประตูบ้านซึ่งเปิดอยู่ได้ และผู้เสียหายนอนอยู่กับนางสมศรี พี่สาว แต่นางสมศรีกลับไม่รู้เห็นเหตุการณ์นั้น เห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวยังไม่พอรับฟังว่าผู้เสียหายใส่ความจำเลยเพราะในครั้งแรกจำเลยอาจไม่รู้ว่าประตูบ้านเปิดอยู่ก็ได้ จึงได้งัดฝาบ้านซึ่งเป็นฝาไม้อัดแผ่นเดียวและตามภาพถ่ายที่โจทก์อ้างส่งศาล รอยงัดก็เพียงแค่ ดึงฝาไม้อัดออกเป็นช่องพอลอดตัวได้ ส่วนที่นางสมศรีไม่รู้เห็นเหตุการณ์ก็ได้ความว่า คืนเกิดเหตุนางสมศรีเมาสุรา นอนหลับไม่รู้เรื่องข้ออ้างของจำเลยจึงยังไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังและที่จำเลยอ้างว่าพยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันนั้น เห็นว่าข้อแตกต่างดังกล่าวไม่ใช่เป็นในส่วนสาระสำคัญ และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่จำเลยได้กระทำผิดแล้ว จึงไม่เป็นข้อพิรุธถึงทำให้น้ำหนักการรับฟังพยานโจทก์เสียไปไม่เห็นว่า แม้โจทก์จะไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความด้วยตนเองโดยตรง แต่โจทก์ก็มีบันทึกคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนและคำเบิกความของผู้เสียหายในคดีที่พวกของจำเลยถูกฟ้องในเหตุการณ์เดียวกันมาส่งอ้างต่อศาล ซึ่งจากบันทึกดังกล่าวผู้เสียหายยืนยันว่า จำเลยร่วมเป็นคนร้ายคนหนึ่งด้วย ทันทีที่ผู้เสียหายหลบหนีจากจำเลยกับพวกกลับมาถึงบ้านโดยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน และให้ถ้อยคำยืนยันเหตุการณ์และรายละเอียดของพฤติการณ์ต่าง ๆ มาโดยตลอดเมื่อฟังประกอบพยานโจทก์คนอื่น ๆ ซึ่งเป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมและใกล้ชิดกับเหตุการณ์แล้วพยานหลักฐานโจทก์มีเหตุผลและมีน้ำหนักฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งที่ร่วมกระทำความผิดด้วยพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมาไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยโดยเห็นว่าความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น พรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร และบุกรุก เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารอันเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวฐานหนึ่งและลงโทษในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงอีกฐานหนึ่งนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำครั้งเดียวอาจเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันได้ หากผู้กระทำมีเจตนาที่จะให้เกิดผลต่างกรรมกันหรือประสงค์จะให้เกิดผลเป็นความผิดหลายฐานต่างกันจากทางนำสืบพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยกับพวกบุกรุกเข้าไปฉุด ตัวผู้เสียหายและพาออกจากบ้าน ระหว่างทางที่พาผู้เสียหายไปจำเลยกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้วพาตัวผู้เสียหายไปกักขังไว้การกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดต่อตัวผู้เสียหายโดยตรงต่อเนื่องกันไปไม่ขาดตอนโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลในการที่จะเอาตัวผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราซึ่งเป็นความประสงค์ของจำเลยกับพวกมาตั้งแต่แรกเริ่ม แม้จำเลยกับพวกจะกักตัวผู้เสียหายไว้อีกหลังจากกระทำชำเราผู้เสียหายแล้วก็ตามก็เห็นได้ว่า การกักตัวดังกล่าวก็เนื่องมาจากความประสงค์เดียวกันนั้นเอง การกระทำของจำเลยดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งจะต้องลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ส่วนการที่จำเลยพรากผู้เสียหายไปจากมารดาของผู้เสียหายนั้น แม้จะเป็นการกระทำผิดในคราวเดียวกันก็ตามแต่ความผิดฐานนี้เป็นความผิดที่ได้กระทำต่อมารดา ผู้เสียหายจึงถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดให้เกิดผลเป็นกรรมในความผิดต่างฐานต่างหากจากกัน หาใช่เป็นความผิดกรรมเดียวกันกับความผิดข้างต้นไป คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองที่พิพากษาดังกล่าวไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา และเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง, 284 วรรคหนึ่ง, 310 วรรคหนึ่ง, 362,365(1)(2)(3) และ มาตรา 318 วรรคสาม ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร ความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นและความผิดฐานบุกรุกเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงอันเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 15 ปี ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 3 ปี รวมโทษจำคุก 18 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วจำคุก 13 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share