แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องโดยเพิ่มจำนวนเงินค่าระวางและอุปกรณ์แห่งค่าระวางที่เรียกร้องให้จำเลยชำระ จากฟ้องเดิมตามใบเรียกเก็บเงิน 178 ฉบับ จำนวน 87,038.03 ดอลลาร์สหรัฐ ขอเพิ่มเติมอีก 102 ฉบับนั้น โจทก์ย่อมทราบดีอยู่แล้วว่ามีหนี้จำนวนนั้นที่จำเลยค้างชำระอยู่ตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้องคดี ถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่มีเหตุสมควรที่ไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถาน
โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยชำระค่าระวางและอุปกรณ์แห่งค่าระวาง ซึ่งตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 3 ให้คำนิยามของอุปกรณ์แห่งค่าระวางโดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าระวาง ดังนั้น ค่าระวางและอุปกรณ์แห่งค่าระวางจึงมีอายุความเป็นอย่างเดียวกัน เมื่อ พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มิได้กำหนดอายุความของสิทธิเรียกร้องค่าระวางไว้ จึงต้องใช้อายุความตามที่กำหนดไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (3) กำหนดไว้ว่าสิทธิเรียกร้องค่าระวางมีกำหนด 2 ปี โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2545 และหนี้ตามใบแจ้งหนี้จำนวน 178 ฉบับ ล้วนเป็นใบแจ้งหนี้ที่ครบกำหนดชำระหลังวันที่ 25 ตุลาคม 2543 เมื่อนับถึงวันฟ้อง จึงยังไม่เกิน 2 ปี ฟ้องโจทก์สำหรับหนี้ตามใบแจ้งหนี้ในส่วนนี้ จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 208,020.17 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 170,763.26 ดอลลาร์สหรัฐ นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 172,641.75 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงิน 143,794.26 ดอลลาร์สหรัฐ ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 25 ตุลาคม 2545) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยชำระเป็นเงินบาทไทย ให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนตามอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ โดยอาศัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในวันที่มีการใช้เงิน ถ้าไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้น ก่อนวันที่มีการใช้เงิน และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เฉพาะทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้ 30,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ปัญหาตามอุทธรณ์ประการแรก ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องหลังวันชี้สองสถาน โดยเพิ่มจำนวนเงินค่าระวางและอุปกรณ์แห่งค่าระวางที่เรียกร้องให้จำเลยชำระ จากฟ้องเดิมตามใบเรียกเก็บเงิน 178 ฉบับ จำนวน 87,038.03 ดอลลาร์สหรัฐ ขอเพิ่มเติมอีก 102 ฉบับ จำนวน 82,600.23 ดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงิน 169,638.26 ดอลลาร์สหรัฐ ชอบแล้วหรือไม่ เห็นว่า หนี้ตามใบเรียกเก็บเงินจำนวน 102 ฉบับ ที่ขอเพิ่มเติมฟ้อง เป็นหนี้ที่โจทก์อ้างว่าเกิดขึ้นในช่วงปี 2542 ถึงปี 2544 ก่อนสรุปยอดหนี้ ณ วันที่ 14 พฤษภาคม 2544 เพื่อดำเนินคดีแก่จำเลยโดยฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2545 และเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนหนี้ตามใบเรียกเก็บเงิน 178 ฉบับ ที่โจทก์อ้างในฟ้องเดิมด้วย เมื่อคดีนี้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางทำการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2546 การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2546 จึงเป็นการยื่นคำร้องหลังวันชี้สองสถานเป็นเวลาเกือบ 5 เดือน และไม่ใช่กรณีที่ไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนนั้น ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 เพราะโจทก์ย่อมทราบดีอยู่แล้วว่ามีหนี้ที่จำเลยค้างชำระจำนวนนี้อยู่ตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ ถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่มีเหตุสมควรที่ไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถาน ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องจึงเป็นการไม่ชอบอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น ซึ่งเมื่อคำร้องขออนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ในส่วนหนี้ตามใบแจ้งหนี้จำนวน 102 ฉบับ เป็นการไม่ชอบด้วยเหตุดังกล่าว ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยรับผิดในหนี้ดังกล่าวย่อมเป็นการไม่ชอบเช่นกัน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนของหนี้ตามใบแจ้งหนี้จำนวน 178 ฉบับ เป็นเงินจำนวน 87,038.03 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องเดิมขาดอายุความหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกให้ชำระค่าระวางและอุปกรณ์แห่งค่าระวาง ตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 3 ให้คำจำกัดความของคำว่า “อุปกรณ์แห่งค่าระวาง” ว่า “ค่าใช้จ่ายอย่างใดที่ผู้ขนส่งได้เสียไปโดยควรในระหว่างขนส่ง ซึ่งตามประเพณีในการขนส่งทางทะเลถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าระวาง…” ดังนั้น ค่าระวางและอุปกรณ์แห่งค่าระวางซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าระวางจึงมีอายุความเป็นอย่างเดียวกัน ในกรณีนี้พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มิได้กำหนดอายุความของสิทธิเรียกร้องค่าระวางไว้ แต่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (3) บัญญัติไว้ว่า “สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความสองปี…(3)…ค่าระวาง…” อายุความเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องค่าระวางจึงมีกำหนด 2 ปี ตามบทมาตราดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2545 โดยก่อนเพิ่มเติมฟ้องโจทก์ฟ้องเรียกค่าระวางและอุปกรณ์แห่งค่าระวางซึ่งถึงกำหนดชำระตามใบแจ้งหนี้รวม 178 ฉบับ ล้วนเป็นใบแจ้งหนี้ที่ครบกำหนดชำระหลังวันที่ 25 ตุลาคม 2543 เมื่อนับถึงวันฟ้อง จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าระวางและอุปกรณ์แห่งค่าระวางภายในกำหนด 2 ปี นับแต่มูลหนี้ตามใบแจ้งหนี้แต่ละฉบับครบกำหนดชำระเงิน ดังนั้น สำหรับมูลหนี้ตามใบแจ้งหนี้ในส่วนนี้จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 106,149.78 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงิน 88,163.03 ดอลลาร์สหรัฐ ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.