แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ยื่นคำขอยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 เพิ่มเติม เนื่องจากราคาทรัพย์สินจำนองที่ยึดไว้เดิมไม่เพียงพอให้ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ประกอบกับจะล่วงเลยกำหนดเวลาในการบังคับคดีภายใน 10 ปี เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดเงื่อนไขในการยึดทรัพย์สินเพิ่มเติมว่าจะนำออกขายทอดตลาดได้ก็ต่อเมื่อขายทอดตลาดทรัพย์สินจำนองที่ยึดไว้เดิมแล้วไม่พอชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา การยึดทรัพย์สินอื่นเพิ่มเติมจึงเป็นธรรมแก่คู่ความทั้งสองฝ่าย ยังไม่มีเหตุสมควรให้เพิกถอนการยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 เพิ่มเติมดังกล่าว
กรณีที่โจทก์ขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นเพิ่มเติมของจำเลยในครั้งต่อ ๆ มา โดยทราบรายละเอียดของทรัพย์สินที่จะขอให้ยึดเพิ่มเติมแล้วนั้น หาจำต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 275 และ 277 ไม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยทั้งสี่ยอมร่วมกันชำระเงินจำนวน 3,512,135.04 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.50 ต่อปี ของต้นเงิน 2,529,696.86 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ (ฟ้องวันที่ 31 ตุลาคม 2539) จำเลยทั้งสี่ยอมร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนแก่โจทก์ จำเลยทั้งสี่จะร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ไม่น้อยกว่าเดือนละ 45,000 บาท ทุกวันที่ 25 ของทุกเดือน เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 25 มิถุนายน 2540 และจะชำระหนี้ทั้งหมดให้เสร็จสิ้นในกำหนด 1 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยตกลงชำระ ณ ที่ทำการของโจทก์ แต่หากจำเลยทั้งสี่ผิดนัดไม่ชำระหนี้งวดใดงวดหนึ่งหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด จำเลยทั้งสี่ยอมให้โจทก์บังคับคดีในส่วนที่ค้างชำระทั้งหมดได้ทันที โดยยอมให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินสุทธิมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เพียงครั้งเดียวเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2540 จำนวน 45,000 บาท แล้วผิดนัดไม่ชำระหนี้ ต่อมาวันที่ 29 เมษายน 2541 ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ ในวันที่ 11 สิงหาคม 2542 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินที่จำนองตามคำฟ้องโฉนดเลขที่ 30014 ถึง 30017, 30019, 27588 ถึง 27589, 32579 ถึง 32592 ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นทรัพย์สินของจำเลยทั้งสี่และได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นให้ขายทอดตลาดแล้ว แต่ยังขายทอดตลาดไม่ได้ เนื่องจากไม่มีผู้สนใจ ต่อมาวันที่ 23 พฤษภาคม 2550 ผู้แทนโจทก์ยื่นคำขอยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 26985 และ 9986 ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติมโดยอ้างว่าราคาประเมินที่ดินทั้ง 21 แปลง ของจำเลยทั้งสี่ที่ยึดไว้เดิมไม่เพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาและจะพ้นระยะเวลาในการบังคับคดีตามกฎหมายแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงยึดทรัพย์ดังกล่าวในวันเดียวกัน โดยมีเงื่อนไขว่าให้รอการขายทอดตลาดที่ดินทั้งสองแปลงไว้ก่อน จนกว่าการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองทั้งหมด (ที่ดิน 21 แปลงที่ยึดไว้เดิม) เสร็จสิ้นแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา จึงจะนำที่ดินทั้งสองแปลงของจำเลยที่ 2 ที่ยึดเพิ่มเติมนี้ออกขายทอดตลาดต่อไป ต่อมาวันที่ 1 ตุลาคม 2551 บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด ยื่นคำร้องขอสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2556 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 (ที่ดินโฉนดเลขที่ 26985 และ 9986 ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี) เพิ่มเติม โดยอ้างว่าโจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริตและขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 และมาตรา 277 เนื่องจากเหตุที่ยังไม่สามารถขายทอดตลาดทรัพย์จำนองที่ยึดไว้เดิมได้เป็นความผิดของโจทก์ที่ไม่สามารถหาผู้ซื้อทรัพย์ได้ภายในเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา โจทก์คาดเดาเอาเองว่า ทรัพย์จำนองที่ยึดไว้แล้วจะขายทอดตลาดได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ การยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เพิ่มเติมดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ระหว่างไต่สวนคำร้องดังกล่าวบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด ยื่นคำร้องขอสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์และบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด ผู้สวมสิทธิเดิม ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า สมควรเพิกถอนการยึดทรัพย์สินอื่นเพิ่มเติมดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า เหตุที่โจทก์ขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 เพิ่มเติมเนื่องจากจำเลยทั้งสี่ต้องร่วมชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์คิดเพียงวันที่ 23 พฤษภาคม 2550 เป็นเงิน 8,453,618.22 บาท มีการขายทอดตลาดกว่า 30 ครั้ง ไม่มีผู้สนใจ คณะอนุกรรมการกำหนดราคาทรัพย์ จึงพิจารณาประเมินราคาที่ดินใหม่ลดลงเหลือ 2,690,000 บาท เพื่อให้มีผู้สนใจเข้าสู้ราคา แสดงให้เห็นว่าราคาประเมินเดิมสูงเกินไป การประเมินราคาใหม่เพื่อจูงใจให้มีผู้สนใจเข้าประมูลทรัพย์จึงมีเหตุสมควร การที่โจทก์ยื่นคำขอยึดที่ดินอีก 2 แปลง ของจำเลยที่ 2 เพิ่มเติม โดยอ้างว่า ราคาประเมินของที่ดินที่ยึดไว้เดิม 21 แปลง ไม่เพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาและจะพ้นระยะเวลาในการบังคับคดีตามกฎหมายแล้ว ก็ฟังได้ตามที่ผู้แทนโจทก์กล่าวอ้าง เนื่องจากจะครบกำหนดเวลาในการบังคับคดีในวันที่ 23 พฤษภาคม 2550 หากโจทก์ไม่ขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 เพิ่มเติมในวันดังกล่าวก็จะล่วงเลยกำหนดเวลาในการบังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 และเห็นได้ว่าราคาทรัพย์สินจำนองที่ยึดไว้เดิมไม่เพียงพอให้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 214 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้ (โจทก์) มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้ (จำเลยทั้งสี่) ได้จนสิ้นเชิง อีกทั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดเงื่อนไขในการยึดทรัพย์สินอื่นเพิ่มเติมว่าจะนำทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดต่อเมื่อขายทอดตลาดทรัพย์สินจำนองที่ยึดไว้เดิมแล้ว ได้เงินไม่พอชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา ดังนี้ การยึดทรัพย์สินอื่นเพิ่มเติมจึงเป็นธรรมแก่คู่ความทั้งสองฝ่าย แม้การบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนโดยยึดทรัพย์สินจำนองขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้แล้ว จึงจะยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ขายทอดตลาดก็ตาม แต่ด้วยเหตุผลดังวินิจฉัยมายังไม่มีเหตุสมควรให้เพิกถอนการยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 เพิ่มเติมดังกล่าว ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ในการขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นเพิ่มเติม โจทก์ต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลที่หมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 นั้น เห็นว่า กรณีตามมาตรา 275 เป็นกรณีที่โจทก์ประสงค์จะบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยเป็นครั้งแรกเท่านั้น ส่วนการขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยในครั้งต่อ ๆ มา หาจำต้องปฏิบัติตามมาตรา 275 ไม่ และที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ในการขอยึดทรัพย์สินอื่นเพิ่มเติม โจทก์จะต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลเพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์เสียก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 277 นั้น เห็นว่า ตามมาตราดังกล่าวเป็นกรณีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเชื่อว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษามีทรัพย์สินอื่นที่จะต้องถูกบังคับมากกว่าที่ตนทราบ แต่ไม่ทราบว่าทรัพย์สินดังกล่าวมีอะไรบ้างและอยู่ที่ใด จึงต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องขอให้หมายเรียกลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลอื่นมาไต่สวน การที่โจทก์ขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 เพิ่มเติม โดยทราบรายละเอียดของทรัพย์สินที่จะขอให้ยึดเพิ่มเติมแล้ว จึงหาจำต้องปฏิบัติตามมาตรา 277 ดังกล่าวไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 2 ล้วนฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ