แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยกับผู้เสียหายเคยอยู่กินฉันสามีภริยาโดยทำพิธีแต่งงานกันตามลัทธิศาสนาอิสลาม และมีบุตรด้วยกัน 1 คน ต่อมาได้แยกกันอยู่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยหย่าขาดกับผู้เสียหายตามกฎหมายอิสลามการที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราจึงอาจเป็นกรณีที่จำเลยกระทำไปโดยเข้าใจว่ามีสิทธิกระทำได้กับภริยาซึ่งมีบุตรด้วยกัน อันเสมือนกับทำโดยวิสาสะ ย่อมไม่เข้าลักษณะกระทำโดยมีเจตนาร้าย จึงไม่เป็นความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร หน่วงเหนี่ยวกักขังและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยถอดเอาแหวนและตุ้มหูของผู้เสียหายซึ่งสวมใส่ไป โดยบอกกับผู้เสียหายว่าถ้ามีแหวนและตุ้มหูติดตัวผู้เสียหายอาจมีเงินหลบหนีได้ แสดงว่าการที่จำเลยเอาทรัพย์ดังกล่าวไป จำเลยมีเจตนาเพียงที่จะป้องกันมิให้ผู้เสียหายหลบหนี หามีเจตนาทุจริตไม่จึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันพาผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้าย และชิงเอาแหวนทองคำ ตุ้มหูทองคำไปโดยทุจริตขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 276, 284, 310, 339ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม โดยลงโทษฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 1 ปีฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง จำคุก 1 ปี ฐานข่มขืนกระทำชำเรา จำคุก4 ปี ฐานชิงทรัพย์ จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 11 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 1,200 บาท แก่ผู้เสียหาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความเป็นยุติว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับผู้เสียหายเคยอยู่กินฉันสามีภริยากันมาก่อน และเกิดบุตรด้วยกัน 1 คน ต่อมาจำเลยกับผู้เสียหายแยกกันอยู่โดยผู้เสียหายอยู่กับบิดามารดาของผู้เสียหาย ส่วนจำเลยอยู่ที่อื่น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีที่จำเลยพาผู้เสียหายไปและหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายเพื่อให้ผู้เสียหายยอมอยู่กินเป็นสามีภริยากับจำเลยตามเดิมโดยจำเลยกับผู้เสียหายเคยอยู่กินเป็นสามีภริยากันมาก่อน แต่แยกกันอยู่เพราะจำเลยทะเลาะกับผู้เสียหายก่อนเกิดเหตุประมาณ 4 เดือนเท่านั้น ตามข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยหย่าขาดกับผู้เสียหายตามกฎหมายอิสลาม โดยนายหย่า มุหมีน บิดาผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยกับผู้เสียหายทำพิธีแต่งงานกันตามลัทธิศาสนาอิสลามและนายหะยีตอหะกาจิ โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดในหมู่บ้าน พยานจำเลยเบิกความรับรองว่า จำเลยกับผู้เสียหายยังไม่ขาดจากการเป็นสามีภริยากัน การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราจึงอาจเป็นกรณีที่จำเลยกระทำไปโดยเข้าใจว่าจำเลยมีสิทธิกระทำได้กับภริยาซึ่งมีบุตรด้วยกัน และบุตรก็ยังอยู่กับจำเลย อันเสมือนกับทำโดยวิสาสะ ย่อมไม่เข้าลักษณะกระทำโดยมีเจตนาร้าย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร หน่วงเหนี่ยวกักขัง และข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ส่วนข้อหาฐานชิงทรัพย์นั้นข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่า ตอนที่จำเลยถอดเอาแหวนและตุ้มหูของผู้เสียหายซึ่งสวมใส่ไป จำเลยบอกกับผู้เสียหายว่าถ้ามีแหวนและตุ้มหูติดตัวอาจมีเงินหลบหนีได้ แสดงให้เห็นชัดว่า การที่จำเลยถอดเอาแหวนและตุ้มหูของผู้เสียหายไปนั้นจำเลยมีเจตนาเพียงที่จะป้องกันมิให้ผู้เสียหายหลบหนี หามีเจตนาทุจริตที่จะเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายเป็นประโยชน์ส่วนตัวไม่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน”