คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความอ้างว่าผู้ร้องสอดเป็นบุตรของเจ้าของมรดกจึงเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิรับมรดกของเจ้าของมรดกส่วนโจทก์ไม่ใช่ทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกนั้นเป็นการร้องสอดเพราะจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่มีอยู่แม้ท้ายคำร้องระบุว่าขอเข้าเป็นจำเลยร่วมโดยผิดหลงก็ถือได้ว่าเป็นการร้องขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(1)และคำร้องขอดังกล่าวมีลักษณะเป็นคำขอบังคับอยู่ในตัวประกอบกับผู้ร้องสอดไม่ได้เรียกร้องอะไรเพียงแต่ขอให้ยกฟ้องจึงไม่จำต้องมีคำขอบังคับโดยแจ้งชัดในคำร้องสอดอีก คดีก่อนโจทก์กับผู้ร้องสอดพิพาทกันเกี่ยวกับเรื่องขอตั้งผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกคดีนี้พิพาทกันเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกคดีทั้งสองเรื่องเกี่ยวข้องกันแต่มิใช่คดีเดียวกันโจทก์จะยกขึ้นมาเป็นเหตุคัดค้านผู้พิพากษาที่พิพากษาคดีนี้ในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา11(5)หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นทายาทโดยธรรมโดยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนาง จันทร์เครือ เจ้ามรดกบิดามารดาของเจ้ามรดกถึงแก่ความตายไปก่อนแล้วเจ้ามรดกไม่มีทายาทชั้นบุตรและถึงแก่ความตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ระหว่างมีชีวิตอยู่เจ้ามรดกมีสินสมรสกับจำเลยซึ่งเป็นสามีคือที่ดินโฉนดเลขที่3649และ4424รวมเนื้อที่54ตารางวาเมื่อแบ่งส่วนของจำเลยครึ่งหนึ่งเนื้อที่27ตารางวาออกแล้วส่วนของเจ้ามรดก27ตารางวาเป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาทเมื่อวันที่20มิถุนายน2522จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครขอรับโอนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวโดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าจำเลยเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกแต่เพียงผู้เดียวทำให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมรดกทั้งหมดให้แก่จำเลยเป็นการปิดบังมรดกจำเลยจึงถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดกเลยโจทก์จึงมีสิทธิได้รับที่ดินมรดกทั้งหมดเนื้อที่27ตารางวาขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่3649และ4424แล้วใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนดังกล่าวแทนให้จำเลยชำระเงินค่าเสียหาย500,000บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่าโจทก์มิใช่พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับเจ้ามรดกเจ้ามรดกมีทายาทโดยธรรมคือจำเลยเพียงผู้เดียวจำเลยมิได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายใดๆจากจำเลยคดีโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดว่าผู้ร้องสอดเป็นบุตรของเจ้ามรดกซึ่งเกิดจากนาย พิชัย สามีคนแรกของเจ้ามรดกผู้ร้องสอดเป็นทายาทโดยธรรมลำดับผู้สืบสันดานมีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกและตัดสิทธิโจทก์ที่อ้างเป็นทายาทโดยธรรมลำดับพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับเจ้ามรดกที่ดินมรดกทั้งสองแปลงจำเลยรับโอนมาโดยถือกรรมสิทธิ์แทนผู้ร้องสอดในส่วนของผู้ร้องสอดที่มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกและที่โจทก์ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่20555/2529ของศาลชั้นต้นผู้ร้องสอดก็ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนแล้วจึงร้องสอดเข้ามาเพื่อให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องสอดขอให้ศาลอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้และพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีเพื่อให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องสอดเป็นการร้องสอดเข้ามาในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(1)อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความตามมาตรา57(1)ดังกล่าว
โจทก์ให้การแก้คำร้องสอดว่าผู้ร้องสอดมิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกมารดาผู้ร้องสอดชื่อนาง เครือวัลย์ ผู้ร้องสอดไม่มีหลักฐานแสดงว่านาง เครือวัลย์กับเจ้ามรดกเป็นบุคคลคนเดียวกันผู้ร้องสอดไม่ใช่ทายาทผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกจึงไม่อาจจะร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีขอให้ยกคำร้องสอด
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ถึงแก่ความตายนาง ระรินทิพย์แฉล้มเขตต์ ผู้จัดการมรดกของโจทก์ยื่นคำร้องขอเป็นคู่ความแทนศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า”พิเคราะห์แล้วปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่าผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(2)มิได้ขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามมาตรา57(1)และคำร้องสอดตามมาตรา57(1)มีลักษณะเป็นคำฟ้องตามมาตรา1(3)ผู้ร้องสอดจึงต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามมาตรา172วรรคสองแต่คำร้องสอดของผู้ร้องสอดเพียงแต่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาเท่านั้นมิได้มีคำขอบังคับโดยแจ้งชัดการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามมาตรา57(1)และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาจึงไม่ถูกต้องนั้นเห็นว่าผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความอ้างว่าผู้ร้องสอดเป็นบุตรของเจ้ามรดกจึงเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกซึ่งถึงแก่ความตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินไว้ส่วนโจทก์ไม่ใช่ทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกการที่ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความจึงเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่มีอยู่แม้ท้ายคำร้องระบุว่าขอเข้าเป็นจำเลยร่วมโดยผิดหลงก็ถือได้ว่าเป็นการร้องขอเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่มีอยู่ตามมาตรา57(1)หาใช่เป็นคำร้องสอดเข้าเป็นคู่ความตามมาตรา57(2)ไม่และเมื่อคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความในคดีตามมาตรา57(1)เป็นการร้องขอเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่ผู้ร้องสอดมีอยู่อันมีลักษณะเป็นคำขอบังคับอยู่ในตัวประกอบกับผู้ร้องสอดไม่ได้เรียกร้องอะไรเพียงแต่ขอให้ยกฟ้องเท่านั้นจึงไม่จำต้องมีคำขอบังคับโดยแจ้งชัดในคำร้องสอดตามมาตรา172วรรคสองประกอบมาตรา1(3)อีกศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์คนหนึ่งที่พิพากษาคดีนี้เคยพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่20555/2529ของศาลชั้นต้นซึ่งโจทก์กับผู้ร้องสอดพิพาทกันเกี่ยวกับเรื่องขอตั้งผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกการที่ผู้พิพากษาคนนั้นพิพากษาคดีนี้ในชั้นอุทธรณ์จึงฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา11(5)นั้นเห็นว่าคดีดังกล่าวโจทก์กับผู้ร้องสอดพิพาทกันเกี่ยวกับเรื่องขอตั้งผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกแต่คดีนี้โจทก์กับผู้ร้องสอดพิพาทกันเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกคดีทั้งสองเรื่องเพียงแต่เกี่ยวข้องกันมิใช่คดีเดียวกันโจทก์จะยกขึ้นมาเป็นเหตุคัดค้านผู้พิพากษาที่พิพากษาคดีนี้ในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา11(5)หาได้ไม่ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share