คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4293/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นศึกษาธิการจังหวัดและผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดตามลำดับ ได้ลงชื่อในใบถอนเงินฝากของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดที่ฝากประจำไว้กับธนาคารจำเลยที่ 4 เพื่อโอนเข้าบัญชีกระแสรายวันของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งมีอยู่แล้วที่ธนาคารจำเลยที่ 4 ทั้งนี้เพื่อปฏิบัติตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการโจทก์ที่ 1 ว่าด้วยการจัดการกองทุนสงเคราะห์ ฯลฯ โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 มอบฉันทะให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นข้าราชการครูช่วยปฏิบัติงานสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเป็นผู้รับเงินแทนแต่ใบถอนเงินดังกล่าวมิได้ระบุว่า เป็นการถอนเงินเพื่อโอนไปฝากในบัญชีกระแสรายวัน จึงเป็นใบถอนเงินเพื่อรับเงินสดไปจากธนาคาร แม้จำเลยที่ 2 จะได้ทำหนังสือแจ้งธนาคารจำเลยที่ 4 ขอถอนเงินกองทุนสงเคราะห์ฯ ในบัญชีเงินฝากประจำโอนเข้าบัญชีกระแสรายวันมอบให้จำเลยที่ 1 ไปก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 มิได้ยื่นหนังสือดังกล่าวต่อธนาคาร เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับเงินแล้วก็หลบหนีไป การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เพราะเป็นช่องทางให้จำเลยที่ 1 ทุจริตเอาเงินที่ถอนไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวได้โดยง่าย เนื่องจากธนาคารจำเลยที่ 4 ต้องจ่ายเป็นเงินสดให้จำเลยที่ 1 นอกจากนี้การมอบฉันทะให้จำเลยที่ 1 ไปถอนเงินเป็นจำนวนมากถึงหกแสนบาทเศษ จำเลยที่ 2 ที่ 3 กลับมอบฉันทะให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเงินแต่ผู้เดียว จึงเป็นความประมาทเลินเล่อยิ่งขึ้น แม้ตามระเบียบจำเลยที่ 2 ที่ 3 มีหน้าที่ไปถอนเงินด้วยตนเอง เพราะมีอำนาจหน้าที่ลงนามเป็นผู้ถอนเงิน จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็อาจมอบฉันทะให้ผู้อื่นทำการแทนได้ แต่จะต้องควบคุมดูแล และใช้วิธีการที่รัดกุม รอบคอบ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการทุจริตขึ้นได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เปิดช่องให้จำเลยที่ 1 ถอนเงินแล้วเอาเงินสดหลบหนีไปโดยทุจริต จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงกระทำละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย
สำหรับธนาคารจำเลยที่ 4 กับจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้จัดการประจำสำนักงานสาขาของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 6 สมุห์บัญชีนั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้นำใบถอนเงินซึ่งจำเลยที่ 2 ที่ 3 มอบฉันทะโดยถูกต้องแล้วมายื่นต่อธนาคารเพื่อขอรับเงินสด โดยมิได้ยื่นหนังสือของจำเลยที่ 2 ที่ให้นำเงินเข้าฝากในบัญชีกระแสรายวัน การที่จำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 6 จ่ายเงินสดให้จำเลยที่ 1 ไป จึงเป็นการกระทำตามหน้าที่ มิได้ประมาทเลินเล่อ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโจทก์ที่ ๓ เป็นคณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่พิจารณาให้ความเห็นในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับระเบียบ และวิธีปฏิบัติของกองทุนสงเคราะห์ครูใหญ่และครูโรงเรียนราษฎร์ควบคุมและตรวจสอบให้การดำเนินงานของกองทุนเป็นไปตามระเบียบ มีเลขาธิการคณะกรรมการศึกษาเอกชนเป็นประธานกรรมการ จำเลยที่ ๑ เป็นข้าราชการครู สังกัดโจทก์ที่ ๒ ได้รับคำสั่งให้ช่วยปฏิบัติงานสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำเลยที่ ๒ ดำรงตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำเลยที่ ๓ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำเลยที่ ๔ เป็นธนาคาพาณิชย์ จำเลยที่ ๕ ที่ ๖ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๔ ตำแหน่งผู้จัดการและสมุห์บัญชีประจำสำนักงานสาขาสุราษฎร์ธานีตามลำดับ วันเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ทำเรื่องขออนุมัติจำเลยที่ ๒ เพื่อโอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำไปฝากไว้ในบัญชีกระแสรายวันที่ธนาคารจำเลยที่ ๔ สาขาสุราษฎร์ธานี เพื่อเบิกจ่ายให้แก่ครูโรงเรียนราษฎร์ จำเลยที่ ๒ อนุมัติ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ลงลายมือชื่อถอนเงินจำนวน
๖๙๕,๘๕๑.๖๙ บาท ระบุชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับมอบฉันทะ และให้โอนเข้าบัญชีกระแสรายวันโดยทำหนังสือถึงจำเลยที่ ๕ มอบให้จำเลยที่ ๑ นำไปยื่นกับจำเลยที่ ๕ เป็นการประกอบเรื่องการโอนเงินฝาก จำเลยที่ ๑ ทุจริตไม่ยื่นหนังสือดังกล่าวแก่จำเลยที่ ๕ เพียงแต่นำใบถอนเงินยื่นขอถอนเงิน จำเลยที่ ๑ ได้รับเงินจำนวน ๖๙๕,๘๕๑.๖๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยแล้วได้นำเงินทั้งหมดหลบหนีไป จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ทำการโดยความประมาทเลินเล่อปรากศจากความระมัดระวังทั้งที่เงินจำนวนมากควรกระทำด้วยตนเองเป็นพิเศษ กลับมอบให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยไปจัดการแทน โดยมิได้เขียนหมายเหตุไว้ในใบถอนเงืนว่าถอนเงินเพื่อโอนเข้าฝากบัญชีกระแสรายวัน และยังมอบหนังสือแจ้งเรื่องถอนเงินไปกับจำเลยที่ ๑ โดยมิได้ส่งไปด้วยตนเอง หรือแจ้งให้จำเลยที่ ๕ ที่ ๖ มารับไป มิได้ติดต่อโดยตรงหรือทางโทรศัพท์หรือวิธีการอื่น ๆ เพื่อให้จำเลยที่ ๕ ที่ ๖ รู้ความประสงค์ถอนเงินโอนเข้าบัญชีกระแสรายวัน จำเลยที่ ๕ ที่ ๖ กระทำด้วยความประมาทเลินเล่อจ่ายเงินสดจำนวนมากโดยไม่จัดให้มีการควบคุมอารักขาตามระเบียบของโจทก์ที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๕ ที่ ๖ ก็ทราบดี จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทุกคนร่วมกันรับผิดแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยทั้งสองกระทำด้วยความระมัดระวังและรอบคอบรัดกุมพอสมควรแก่เหตุแล้ว มิได้กระทำละเมิด คดีโจทก์ขาดอายุความ
จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๖ ให้การว่ามิได้กระทำการใดอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๖ ร่วมกันใช้เงินให้แก่โจทก์จำนวน ๕๗๕,๗๕๑.๖๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๕
โจทก์ทั้งสาม และจำเลยที่ ๔ ที่ ๖ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๖ ร่วมกันรับผิดในเงินจำนวน ๕๘๒,๙๕๙.๕๔ พร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ ๔ ที่ ๖ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ ๔ ที่ ๖ ว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ เพียงใดหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ที่ ๑ ออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดการกองทุนสงเคราะห์ครูใหญ่และครูโรงเรียงราษฎร์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ลงวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ แก้ไขระเบียบดังกล่าวซึ่งออกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ เพื่อนำเงินกองทุนไปจ่ายให้แก่ครูโรงเรียนราษฎร์ไปก่อน โจทก์ที่ ๒ จึงมีหนังสือลงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๒๑ ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดให้เปิดบัญชีกระแสรายวันขึ้นใหม่ที่ธนาคารจำเลยที่ ๔ สาชาจังหวัด ตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือดังกล่าว เอกสารหมาย ล.๖ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานีขออนุมัติถอนเงินทุนซึ่งฝากไว้ในบัญชีเงินฝากประจำที่ธนาคารจำเลยที่ ๔ สาขาสุราษฎร์ธานี โอนเข้าบัญชีกระแสรายวันซึ่งสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดมีอยู่แล้วในธนาคารเดียวกัน เมื่อได้รับอนุมัติดจากผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วในวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้ลงชื่อในใบถอนเงินเอกสารหมาย ล.๑๓ มอบฉันทะให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับเงินแทน และจำเลยที่ ๒ ได้ทำหนังสือตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารหมาย ปล.๑ แจ้งธนาคารจำเลยที่ ๔ สาขาสุราษฎร์ธานี ขอถอนเงินกองทุนสงเคราะห์ ครูใหญ่และครูโรงเรียนราษฎร์ ในบัญชีเงินฝากประตำเลขที่ ๕๔๑๑ จำนวนเงิน ๖๙๕,๘๕๑.๖๙ บาท โอนเข้าบัญชีกระแสรายวันเลขที่ ๒๖๗๕ แล้ว จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มอบเอกสารหมาย ล.๑๓ และหนังสือดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ ไป จำเลยที ๑ นำเอกสารหมาย ล.๑๓ และหนังสือดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ ไป จำเลยที่ ๑ นำเอกสารหมาย ล.๑๓ ไปถอนเงินโดยไม่ได้ยื่นหนังสือดังกล่าวต่อธนาคาร เมื่อได้เงินแล้วก็พาเงินหลบหนีไปพิเคราะห์ใบถอนเงินเอกสารหมาย ล.๑๓ แล้ว ปรากฏว่าเอกสารนี้ไม่ได้ระบุเลยว่าถอนเงินไปเพื่อโอนไปฝากในบัญชีกระแสรายวันตามความประสงค์ของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้มอบฉันทะ ดังนั้นเอกสารฉบับนี้จึงเป็นใบถอนเงินเพื่อรับเงินสดไปจากธนาคาร หากจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มีความประสงค์จะถอนไปฝากยังบัญชีกระแสรายวันแล้วก็กระทำได้โดยง่าย โดยวิธีใดวิธีหนึ่งเช่น ระบุในใบถอนเงินว่าถอนไปฝากในบัญชีกระแสรายวัน ในกรณีเช่นนี้ธนาคารก็ไม่ต้องจ่ายเงินสดให้จำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด เพียงแต่โอนเงินไปเข้าบัญชีกระแสรายวันเท่านั้น ก็จะเป็นไปตามความประสงค์ของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ หรือ จำเลยที่ ๒ ทำหนังสือถึงธนาคารขอให้โอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำไปฝากในบัญชีกระแสรายวัน ก็น่าจะกระทำได้โดยจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่จำเป็นต้องมอบฉันทะให้จำเลยที่ ๑ ไปถอนเงิน นอกจากนี้ธนาคารก็น่าจะมีวิธีการมากมายที่จะโอนบัญชีเงินฝากดังกล่าวโดยไม่ต้องถอนเงินออกมาเป็นเงินสด การกระทำของจำเลยทั้งสองดังที่กล่าวแล้วเป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผล และบ่งชี้ว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ กระทำไปโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นช่องทางให้จำเลยที่ ๑ ทุจริตเอาเงินที่ถอนไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวได้โดยง่าย หากจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงแล้ว ธนาคารก็ไม่ต้องจ่ายเงินสดให้จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ก็จะไม่มีโอกาสทุจริตได้ อนึ่งตามสำเนาภาพถ่ายใบถอนเงินเอกสารหมาย ล.๑๐ ถึง ล.๑๒ ปรากฏว่าในการถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากประจำนี้นั้นเจ้าของบัญชีได้มอบฉันทะให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับเงินแทนทุกฉบับ เอกสารหมาย ล.๑๑ เป็นการมอบฉันทะให้ถอนเงินเพียง ๙๐๐ บาทเศษ และเอกสารหมาย ล.๑๒ จำนวนเงินเพียง ๓๐๐ บาทเศษ ผู้รับมอบฉันทะจึงมีเพียงจำเลยที่ ๑ คนเดียว ส่วนเอกสารหมาย ล.๑๐ นั้นเป็นการถอนเงินถึง ๔๐,๐๐๐ บาทเศษ ผู้รับมอบฉันทะจึงมี ๒ คน คือจำเลยที่ ๑ และนายเจริญ นุ้ยนวล พยานโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานการเงินและการบัญชี สำนักงานศึกษาธิกาจังหวัดสุราษฎร์ธานี และเป็นข้าราชการระดับ ๕ ซึ่งถือได้ว่าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แสดงให้เห็นว่าในทางปฏิบัติที่แล้วมานั้น หากมีการถอนเงินก้อนใหญ่ออกจากบัญชีเงินฝากประจำนี้ก็จะมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คอยควบคุมดูแลจำเลยที่ ๑ มีให้กระทำการโดยทุจริตได้แต่ปรากฏว่าในการมอบฉันทะให้จำเลยที่ ๑ ไปถอนเงินตามเอกสารหมาย ล.๑๓ ซึ่งเป็นการถอนการบัญชีทั้งหมดเป็นเงินถึง ๖๙๕,๘๕๑.๖๙ บาท จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ กลับมอบฉันทะให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับเงินแต่ผู้เดียว เป็นการบ่งชี้ความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ยิ่งขึ้นไปอีก นอกจากนี้ เมื่อจำเลยที่ ๖ โทรศัพท์ถึงจำเลยที่ ๓ นั้น จำเลยที่ ๓ มิได้พูดถึงเรื่องนำเงินที่ถอนไปฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันเลย หากจำเลยที่ ๓ ได้พูดถึงเรื่องดังกล่าวก็จะป้องกันการทุจริตของจำเลยที่ ๑ ได้ การที่จำเลยที่ ๓ ละเลยไม่กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวนับได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๓ ที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ที่นายรังศฤษดิ์ เขาวนศิริ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พยานโจทก์ เบิกความว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มีหน้าที่ไปถอนเงินด้วยตนเองนั้นมีเหตุผล เพราะเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ลงนามเป็นผู้ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำ จึงต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่อง การเก็บและรักษาเงินและการถอนเงินในบัญชี อย่างไรก็ตามศาลฎีกาเห็นว่า ในการถอนเงินนั้น จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ น่าจะมอบฉันทะให้ผู้อื่นทำการแทนได้ แต่ทั้งนี้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ต้องดูแลควบคุมและใช้วิธีการรัดกุมรอบคอบเพื่อฟ้องกันมิให้เกิดการทุจริตขึ้นได้ แต่การกระทำของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ในกรณีนี้ เห็นได้ชัดว่ากระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เปิดช่องให้จำเลยที่ ๑ กระทำการถอนเงินแล้วเอาเงินสดหลบหนีไปโดยทุจริต จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม ทำให้โจทก์ทั้งสามเสียหาย ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ด้วย
สำหรับจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๖ นั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ได้นำใบถอนเงินเอกสารหมาย ล.๑๓ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มอบฉันทะโดยถูกต้องแล้วมายื่นต่อธนาคารเพื่อขอรับเงินสดโดยจำเลยที่ ๑ มิได้ยื่นหนังสือของจำเลยที่ ๒ ที่ให้นำเงินเข้าฝากในบัญชีกระแสรายวัน เมื่อจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มีสิทธิถอนเงินได้และมอบฉันทะมาโดยถูกต้องแล้ว การที่ธนาคารจำเลยที่ ๔ โดยจำเลยที่ ๖ จ่ายเงินสดให้จำเลยที่ ๑ ไปจึงเป็นการกระทำตามหน้าที่ หาได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อแต่อย่างใดไม่ ในทางตรงกันข้ามหากจำเลยที่ ๔ ไม่ยอมจ่ายเงินให้จำเลยที่ ๑ ไป กลับจะต้องถือว่าไม่กระทำตามหน้าที่ อนึ่ง การที่จำเลยที่ ๖ มีความสงสัยว่าทำไมจึงขอรับเงินสดจำนวนมากไม่นำเข้าบัญชีเพื่อจ่ายเป็นเช็คแทนจึงโทรศัพท์ถามจำเลยที่ ๑ ว่าจะถอนเป็นเงินสดไปทั้งหมดใช่ไหม จำเลยที่ ๓ ตอบว่าใช่ ปรากฏตามบันทึกคำให้การพยานเอกสารหมาย จ.๓ นั้น มิได้บ่งชี้ว่าจำเลยที่ ๖ กระทำโดยประมาทเลินเล่อดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแต่ประการใด
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ชดใช้เงินจำนวน ๕๘๒,๙๕๙.๕๔ บาท แก่โจทก์ทั้งสามพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๑ จนกว่าจะชำระเสร็จให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสามสำหรับจำเลยที่ ๔ และที่ ๖ ค่าฤขาธรรมเนียมให้เป็นพับกันไปทุกฝ่ายทั้งสามศาล นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share