แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า คำเบิกความของตัวโจทก์ พยานจำเลย และพฤติการณ์ของจำเลยประกอบกันฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดดังฟ้องนั้น เป็นการโต้เถียงการชั่งน้ำหนักในการรับฟังพยานหลักฐาน จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น โจทก์มิได้แสดงโดยชัดเจนว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนนอกฟ้องนอกประเด็นอย่างไร หาเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ไม่
การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ ไม่เป็นการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวง ฯ พ.ศ.2499มาตรา 22 ทวิ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยแจ้งความเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒, ๑๗๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า อุทธรณ์โจทก์มีใจความว่า ตามคำเบิกความของตัวโจทก์พยานจำเลย และพฤติการณ์ของจำเลยประกอบกับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดดังโจทก์ฟ้องอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการโต้เถียงการชั่งน้ำหนักในการรับฟังพยานหลักฐาน อันเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของโจทก์อีกตอนหนึ่งอ้างว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน นอกฟ้อง นอกประเด็น อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้มิได้แสดงโดยชัดเจนว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน นอกฟ้อง นอกประเด็นตรงไหน อย่างไร จึงเป็นอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓
การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์นั้น หาใช่เป็นการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๒๒ ทวิ ไม่
พิพากษายืน