แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การโอนเช็คด้วยการคบคิดกันฉ้อฉลที่จะเป็นเหตุให้ผู้สั่งจ่ายยกความเกี่ยวพันระหว่างตนกับผู้ทรงคนก่อนขึ้นต่อสู้ผู้ทรงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 จะต้องเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลขณะที่ผู้ทรงรับโอนเช็คเท่านั้น มิใช่เป็นการคบคิดกันฉ้อฉลภายหลังจากที่มีการฟ้องร้องเรียกเงินตามเช็ค ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 ผู้ทรงคนก่อนให้การต่อสู้คดีแล้วสละข้อต่อสู้ในภายหลังก็ดี หรือเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วโจทก์ผู้ทรงบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายเพียงคนเดียวก็ดี จะถือว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 คบคิดกันฉ้อฉลจำเลยที่ 1 หาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็ครวม 2 ฉบับ เพื่อชำระหนี้แก่ผู้ถือต่อมา โจทก์ได้รับโอนเช็คทั้งสองฉบับถึงกำหนด โจทก์ได้นำไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 189,800 บาทพร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทให้จำเลยที่ 2 เพื่อเป็นการประกันหนี้ค่าปุ๋ยของบุคคลภายนอกที่สั่งซื้อปุ๋ยของโจทก์ผ่านจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายของโจทก์ และบุคคลภายนอกได้ชำระหนี้ดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ตัวแทนของโจทก์เสร็จแล้ว แต่โจทก์กับจำเลยที่ 2 สมคบกันฉ้อฉลนำเช็คพิพาทมาฟ้องด้วยเจตนาที่จะฉ้อโกงจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะเพียงแต่สลักหลังเช็คพิพาทโอนชำระหนี้ให้โจทก์ ไม่ได้ค้ำประกันหรือรับรองจำเลยที่ 1 ด้วย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน189,800 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 100,000 บาท นับแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2528 และของต้นเงิน89,800 บาท นับแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2528 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องรวมกันต้องไม่เกิน8,303.75 บาท
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำเลยที่ 1 มีหน้าที่นำสืบก่อนในวันนัดสืบพยานจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ขอสละข้อต่อสู้ในประเด็นข้อพิพาทเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์และยอมรับว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาททั้งสองฉบับจริง ไม่ติดใจสืบพยาน ส่วนจำเลยที่ 1 กับโจทก์แถลงร่วมกันว่า จะไปขอคัดคำเบิกความและพยานเอกสารของแต่ละฝ่ายในสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1082/2528 คดีหมายเลขแดงที่ 1303/2528 ของศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทั้งหมดมาอ้างเป็นพยานในสำนวนคดีนี้ โดยจำเลยที่ 1 และโจทก์หมดพยานเพียงเท่านี้
พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า เดิมจำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดี ต่อมากลับสละประเด็นข้อต่อสู้ทั้งหมด และหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วโจทก์บังคับแต่เฉพาะจำเลยที่ 1 เท่านั้นไม่บังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 2 เลยพฤติการณ์แห่งคดีพอฟังว่าจำเลยที่ 2 สมคบกับโจทก์ฉ้อฉลจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่าการโอนเช็คด้วยการคบคิดกันฉ้อฉลจะเป็นเหตุให้ผู้สั่งจ่ายยกความเกี่ยวพันระหว่างตนกับผู้ทรงคนก่อนขึ้นต่อสู้ผู้ทรงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 916 นั้น จะต้องเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลภายหลังจากที่มีการฟ้องร้องเรียกเงินตามเช็คกันแล้ว ดังนั้น แม้จำเลยที่ 2 จะได้ให้การต่อสู้คดีไว้แล้วกลับมาสละข้อต่อสู้ภายหลังหรือเมื่อมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว โจทก์บังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 1 เพียงคนเดียวไม่บังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ก็จะถือว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2ได้สมคบกันฉ้อฉลจำเลยที่ 1 หาได้ไม่ เมื่อตามพยานหลักฐานในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1303/2528 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1มิได้นำสืบให้เห็นว่าขณะที่จำเลยที่ 2 สลักหลังโอนเช็คให้โจทก์ได้มีการคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยที่ 1 อย่างไร คดีจึงรับฟังไม่ได้ว่า โจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาททั้งสองฉบับด้วยคบคิดกันฉ้อฉล จำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมจะต้องรับผิดตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับต่อโจทก์ ซึ่งเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 และมาตรา 916ประกอบด้วยมาตรา 989 จำเลยที่ 1 ไม่อาจจะยกข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1ได้ออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับเพื่อประกันหนี้ของบุคคลอื่นและจำเลยที่ 3 ได้ชำระหนี้ตามเช็คให้แก่จำเลยที่ 2 แล้วขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน