แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
หากนับจากวันออกหนังสือเตือนถึงวันที่โจทก์กระทำผิดอันเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ เป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน 13 วัน หรือหากนับตั้งแต่วันที่โจทก์กระทำผิดอันเป็นเหตุให้จำเลยออกหนังสือเตือนจนถึงวันที่โจทก์กระทำผิดอันเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ก็เป็นเวลา 1 ปี 5 เดือน 21 วัน ซึ่งไม่ว่าจะเริ่มนับระยะเวลาของหนังสือเตือน โดยวิธีใด ก็ล้วนแต่เป็นระยะเวลาที่เนิ่นนานเกินสมควร ถือว่าหนังสือเตือนดังกล่าวสิ้นผล ไม่สามารถจะนำมาเป็นเหตุในการพิจารณาประกอบการเลิกจ้างโจทก์ตามข้อบังคับได้ถือว่าโจทก์ไม่ได้ถูกตักเตือนเป็นหนังสือมาก่อน จำเลยไม่มีสิทธิที่จะเลิกจ้างโจทก์ตามความในข้อ 9 แห่งข้อบังคับของจำเลย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อปี พ.ศ. 2524 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขับรถ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 145 บาท จำเลยกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือนเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2534 จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2534 โดยกล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิดวินัยฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับคำสั่งของจำเลยทะเลาะวิวาทกับผู้ร่วมงานอยู่เนือง ๆ ประพฤติตนเป็นที่เสื่อมเสียเกียรติศํกดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ และเสพสุราในเวลาปฏิบัติหน้าที่ เป็นเหตุให้เสียหายแก่จำเลยตามข้อบังคับของจำเลย ฉบับที่ 46 (พ.ศ. 2524) ข้อ9.3, 9.7, 9.8, 9.9 และเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน ซึ่งไม่เป็นความจริง โจทก์ไม่ได้กระทำผิดดังกล่าวและเหตุดังกล่าวโจทก์ต้องได้รับการตักเตือนเป็นหนังสือแล้วจำเลยจึงจะลงโทษให้โจทก์ออกจากงานได้โจทก์ไม่เคยได้รับการเตือนเป็นหนังสือ จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และผู้ออกคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานไม่มีอำนาจออกคำสั่งเลิกจ้าง โจทก์ขาดรายได้คิดเป็นเงิน 1,044,000บาท ค่าชดเชยจำนวน 26,100 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 4,350 บาทขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดิมและนับอายุงานติดต่อกันโดยถือเสมือนไม่มีการเลิกจ้าง หากจำเลยไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจำนวน 1,044,000 บาท ค่าชดเชยจำนวน26,100 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 4,350 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
จำเลยให้การว่า โจทก์เข้าทำงานเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2525ตำแหน่งพนักงานขับรถยนต์โดยสารประจำทาง ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 144.65 บาท จำเลยกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกสามวัน เมื่อวันที่5 พฤศจิกายน 2534 เวลาประมาณ 1 นาฬิกา โจทก์ได้รับมอบหน้าที่ให้ขับรถยนต์โดยสารประจำทางสาย 25 กะสว่าง ระหว่างปฏิบัติหน้าที่โจทก์แวะรับประทานอาหารและดื่มสุรามึนเมาเมื่อนำรถเข้าอู่ฟาร์มจระเข้ ได้ก่อเหตุตบตีนางสาวสัตยา แมลงภู่ทอง พนักงานเก็บค่าโดยสารได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ โจทก์เคยเมาสุราและถูกลงโทษทางวินัยและตักเตือนมาแล้ว 4 ครั้ง โจทก์กระทำผิดวินัยตามข้อ9.3, 9.7, 9.8, 9.9 แห่งข้อบังคับฉบับที่ 46 (พ.ศ. 2524) ว่าด้วยวินัยและการลงโทษฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับคำสั่งขององค์การ ทะเลาะวิวาทกับผู้ร่วมงานอยู่เนือง ๆ ประพฤติตนเป็นที่เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่และดื่มสุราในขณะปฏิบัติงานเป็นเหตุให้เสียหายแก่องค์การ จำเลยมีคำสั่ง 1078/2534ลงโทษให้โจทก์ออกจากพนักงานองค์การ เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ได้ดื่มสุราระหว่างการปฏิบัติหน้าที่และระหว่างที่โจทก์อยู่ในอู่หลังจากเลิกปฏิบัติหน้าที่แล้วโจทก์ได้ตบตีทำร้ายนางสาวสัตยา แมลงภู่ทอง เพื่อนร่วมงาน ก่อนเกิดเหตุโจทก์เคยถูกลงโทษเกี่ยวกับเมาสุราและทำร้ายผู้อื่นมาหลายครั้งและจำเลยเคยตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 22มิถุนายน 2533 หนังสือเตือนยังมีผลบังคับ ผู้จัดการเขตการเดินรถที่ 3 ได้รับมอบอำนาจจากผู้อำนวยการของจำเลยให้มีอำนาจลงโทษพนักงานจึงมีอำนาจออกคำสั่งลงโทษเลิกจ้างโจทก์ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องรับโจทก์กลับเข้าทำงาน ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหาย ค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้าแก่โจทก์ตามฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “หนังสือเตือนเอกสารหมายล.19 ซึ่งเป็นหนังสือเตือนฉบับสุดท้ายก่อนที่โจทก์จะกระทำความผิดอันเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์นั้น ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2533ได้ตักเตือนโจทก์ในเรื่องโจทก์เสพสุรามึนเมาและทะเลาะวิวาทกับบุคคลภายนอกเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2533 ซึ่งจำเลยถือว่าเป็นการผิดวินัยตามนัยข้อ 4.3 และ 4.13 แห่งข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ 46(พ.ศ. 2524) ฐานไม่ตั้งใจปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับคำสั่งของจำเลย และประพฤติตนเป็นคนเสเพล เสพสุราจนมึนเมาไม่สามารถครองสติได้ ทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ จะเห็นได้ว่าหนังสือเตือนเอกสารหมาย ล.19 นี้ หากนับจากวันออกหนังสือเตือนถึงวันที่โจทก์กระทำผิดอันเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์คือวันที่ 5 พฤศจิกายน 2534 ก็เป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน 13 วัน หรือหากนับตั้งแต่วันที่โจทก์กระทำผิดอันเป็นเหตุให้จำเลยออกหนังสือเตือนเอกสารหมาย ล.19 คือวันที่ 15 พฤษภาคม 2533 จนถึงวันที่โจทก์กระทำผิดอันเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์คือวันที่ 5 พฤศจิกายน 2534ก็เป็นเวลาถึง 1 ปี 5 เดือน 21 วัน ซึ่งไม่ว่าจะเริ่มนับระยะเวลาของหนังสือเตือนเอกสารหมาย ล.19 โดยวิธีใด ก็เห็นได้ว่าล้วนแต่เป็นระยะเวลาที่เนิ่นนานเกินสมควร ไม่สามารถจะนำมาเป็นเหตุในการพิจารณาประกอบการเลิกจ้างโจทก์ตามข้อบังคับของจำเลยได้ต้องถือว่าหนังสือเตือนตามเอกสารหมาย ล.19 สิ้นผลไปก่อนที่โจทก์จะกระทำผิดทางวินัยเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2534 และหนังสือเตือนตามเอกสารหมาย ล.17, ล.18 ซึ่งเป็นหนังสือเตือนที่มีมาก่อนหนังสือเตือนเอกสารหมาย ล.19 ย่อมสิ้นผลไปด้วย และความผิดที่โจทก์กระทำเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2534 ซึ่งจำเลยถือว่าเป็นความผิดตามข้อบังคับของจำเลย ฉบับที่ 46 (พ.ศ. 2524) เอกสารหมายจ.1 ข้อ 9.3, 9.7, 9.8 และ 9.9 นั้น ตามข้อบังคับของจำเลยดังกล่าวข้อ 9 มีข้อความว่าจำเลยจะลงโทษผู้กระทำผิดด้วยการให้ออกได้ก็ต่อเมื่อผู้กระทำผิดเคยถูกตักเตือนเป็นหนังสือมาก่อน เมื่อหนังสือเตือนเอกสารหมาย ล.17 ถึง ล.19 สิ้นผลไปก่อนที่โจทก์จะกระทำผิดตามข้อ 9.3, 9.7, 9.8 และ 9.9 แห่งข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ 46 (พ.ศ. 2524) เอกสารหมาย จ.1 จึงถือว่าโจทก์ไม่ได้ถูกตักเตือนเป็นหนังสือในความผิดดังกล่าวมาก่อน จำเลยไม่มีสิทธิที่จะเลิกจ้างโจทก์ตามความในข้อ 9 แห่งข้อบังคับของจำเลยเอกสารหมาย จ.1 ได้ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงไม่ชอบด้วยข้อบังคับของจำเลย เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนนี้ฟังขึ้น แต่ที่โจทก์อุทธรณ์ต่อไปว่าขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานนั้น การจะให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานหรือจะให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แทนการรับกลับเข้าทำงานเป็นดุลยพินิจของศาลแรงงานกลาง เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่อาจพิพากษาให้ตามคำขอของโจทก์ในส่วนนี้ได้ และหากศาลแรงงานกลางใช้ดุลยพินิจพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แทนการให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน ศาลแรงงานกลางก็จะต้องพิพากษาถึงเงินต่าง ๆที่โจทก์ฟ้องเรียกมาด้วยว่าโจทก์มีสิทธิได้รับหรือไม่เพียงใด จึงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัย”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางพิพากษาในเรื่องจะให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานหรือให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แทน และในกรณีที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แทนการรับเข้าทำงาน ก็ให้ศาลแรงงานกลางพิพากษาถึงเงินประเภทต่าง ๆ ที่โจทก์ฟ้องเรียกมาด้วย.