คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4275/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ขยายเวลายื่นรายการการชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ซึ่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังอาศัยอำนาจตามมาตรา 3 อัฎฐวรรคสองแห่ง ประมวลรัษฎากร ข้อ 2 และ 5 ระบุว่า ถ้าได้ยื่นรายการและชำระภาษีอากร หรือนำส่งภาษีอากรตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2534 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2535 ผู้นั้นไม่ต้องเสียเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่ม ฉะนั้น ผู้ที่จะได้รับประโยชน์โดยได้รับ ยกเว้นเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวจะต้อง ชำระหนี้ค่าภาษีอากรแก่จำเลยจนครบถ้วนภายในระยะเวลาที่ ประกาศกระทรวงการคลังกำหนด เมื่อโจทก์ทั้งสองยังมิได้ชำระหนี้ ค่าภาษีอากรแก่จำเลยจนครบถ้วนภายในระยะเวลาที่ประกาศกระทรวงการคลังกำหนด โจทก์ทั้งสองย่อมไม่ได้รับยกเว้นเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตาม ประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าว
ในชั้นตรวจสอบและชั้นพิจารณาอุทธรณ์ เจ้าพนักงานของจำเลยได้มีหนังสือเชิญโจทก์ทั้งสองเพื่อให้ชี้แจงและส่งมอบเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แต่โจทก์ทั้งสองก็มิได้ส่งมอบเอกสารค่าใช้จ่ายต่าง ๆให้แก่จำเลยในชั้นตรวจสอบ เพิ่งมานำส่งในชั้นพิจารณาอุทธรณ์ในชั้นพิจารณาอุทธรณ์เจ้าพนักงานของจำเลยมีหนังสือเชิญโจทก์ที่ 1ไปพบ เพื่อให้โจทก์ที่ 1 ชี้แจงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายค่าออกแบบอาคารและรากฐานถึงสองครั้ง แต่โจทก์ที่ 1 เพิกเฉย เห็นได้ว่าโจทก์ทั้งสองมิได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบการเสียภาษีอากรของโจทก์ทั้งสองแก่จำเลย กรณีจึงยังไม่มีเหตุสมควรงดหรือลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ทั้งสอง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า เมื่อเดือนธันวาคม 2530 โจทก์ทั้งสองร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 4257 ตำบลคลองตัน อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานครในราคา 13,000,000 บาท ต่อมาโจทก์ทั้งสองได้ว่าจ้างบุคคลภายนอกถมดินเป็นเงินจำนวน 47,500 บาท ว่าจ้างบริษัทมหาฤกษ์ พัฒนา จำกัดก่อสร้างอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น 7 คูหา เป็นเงินจำนวน 2,000,000 บาทและว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดองอาจอาคิเต็กส์ ออกแบบอาคารและรากฐานเป็นเงินจำนวน 380,000 บาท หลังจากนั้น โจทก์ทั้งสองได้ขอแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวในส่วนที่เป็นที่ตั้งอาคารพาณิชย์ วันที่ 19 สิงหาคม2531 โจทก์ทั้งสองขายที่ดินส่วนที่แบ่งแยกพร้อมอาคารพาณิชย์ให้แก่บริษัทเอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด เป็นเงินจำนวน 7,860,000 บาทและโจทก์ทั้งสองได้จ่ายค่านายหน้าให้นายประทักษ์ สุนทรชัยสดมภ์ สำหรับการขายที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 200,000บาท ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 4257 โจทก์ทั้งสองประสงค์จะสร้างอาคารชุดเพื่อขายวันที่ 18 พฤษภาคม 2531 โจทก์ทั้งสองซื้อเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงจากบริษัทมหาฤกษ์ พัฒนา จำกัด เป็นเงินจำนวน 4,800,000 บาท แต่โจทก์ทั้งสองไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างเพิ่มจำนวนชั้นอาคารชุดจึงขายที่ดินแปลงดังกล่าวพร้อมเงินลงทุนที่ได้ใช้จ่ายไปในการพัฒนาที่ดินให้แก่บริษัทไอ-คอนคอนสตรั๊คชั่น จำกัด เป็นเงินจำนวน 14,000,000 บาท ซึ่งเป็นบริษัทที่โจทก์ทั้งสองร่วมกับบุคคลอื่นจัดตั้งขึ้น ต่อมาโจทก์ทั้งสองได้รับหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้โจทก์ทั้งสองเสียภาษีจากการขายที่ดินดังกล่าวเพิ่มเป็นเงินภาษีเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวม 6,349,312.20 บาท โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้โจทก์ทั้งสองเสียภาษี รวม 5,842,322.40 บาท โจทก์ทั้งสองไม่เห็นด้วยเพราะเจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่นำค่าใช้จ่ายจำนวน5,427,000 บาท มาพิจารณาหักเป็นค่าใช้จ่ายให้โจทก์ทั้งสองนอกจากนี้โจทก์ทั้งสองได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องขยายเวลายื่นรายการชำระภาษีอากรประกาศณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2534 โจทก์ทั้งสองจึงได้รับนิรโทษกรรมการประเมินเบี้ยปรับเต็มจำนวนขัดต่อประกาศกรมสรรพากรที่ ทป.11/2529 ขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่นำหลักฐานค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มอบให้เจ้าพนักงานประเมินในชั้นตรวจสอบ แต่ได้นำมามอบให้ในชั้นพิจารณาอุทธรณ์ค่าใช้จ่ายถมที่ดิน และค่าจ้างออกแบบอาคารและรากฐานตามฟ้องผู้รับเงินทั้งสองรายไม่มาพบเจ้าพนักงาน ถือว่าไม่ได้จ่ายและรับเงินกันจริง สำหรับค่านายหน้าในการขายที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ที่โจทก์ทั้งสองจ่ายให้นายประทักษ์ สุนทรชัยสดมภ์ โจทก์เพิ่งนำมาแสดงในชั้นพิจารณาอุทธรณ์และจากการตรวจสอบแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี2531 ของนายประทักษ์ ไม่ปรากฏว่ามีรายได้จากค่านายหน้า ที่โจทก์ทั้งสองจ่ายค่าซื้อเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงให้แก่บริษัทมหาฤกษ์ พัฒนา จำกัด เป็นเงินจำนวน 4,800,000 บาท โจทก์ทั้งสองไม่สามารถนำหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าพนักงานประเมินในชั้นตรวจสอบแต่ได้นำมาแสดงในชั้นพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งใบเสร็จรับเงินและใบแจ้งหนี้ทุกฉบับที่โจทก์ทั้งสองนำมาแสดงได้ออกให้ในวันเวลาที่แตกต่างกันปรากฏว่าเป็นลายมือบุคคลเดียวกัน ใช้ปากกาด้ามเดียวกัน กระดาษ น้ำหมึก ตราประทับ มีสภาพใหม่ทั้งที่เวลาผ่านมา10 ปี แล้ว กรรมการที่ลงนามในสัญญาซื้อขายเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงก็ไม่ใช่กรรมการของบริษัทมหาฤกษ์ พัฒนา จำกัด สถานที่ตั้งของบริษัทไม่ตรงกับหนังสือรับรองนิติบุคคล ผู้จ่ายเงิน คือนางพาณี ภาคสุวรรณและนายเอกชัย ภาคสุวรรณ ซึ่งเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นของบริษัทไอ-คอนคอนสตรั๊คชั่น จำกัด มิใช่โจทก์ทั้งสอง สำหรับเบี้ยปรับโจทก์ทั้งสองยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ถูกต้องมิใช่กรณีไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภายในกำหนดและจัดทำเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในภายหลังประกอบกับไม่ให้ความร่วมมือในชั้นตรวจสอบ จึงไม่มีเหตุอันควรงดหรือลดเบี้ยปรับ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและการพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้แก้ไขการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เลขที่ 1016/ตส/2/1/103102ลงวันที่ 29 เมษายน 2539 กับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ 1010/ฝ.1/26/41/232 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2541 โดยให้หักค่าใช้จ่ายให้แก่โจทก์เพิ่มจำนวน 5,380,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่านายหน้า ค่าออกแบบอาคารและรากฐานและค่าเสาเข็มคอนกรีตอัดแรง โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิหักเป็นค่าใช้จ่ายได้

ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า โจทก์ทั้งสองได้รับนิรโทษกรรมยกเว้นเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามประกาศกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2534 หรือไม่ เห็นว่า ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ขยายเวลายื่นรายการการชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาศัยอำนาจตามมาตรา 3 อัฎฐ วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ข้อ 2 และ 5 ระบุว่า ถ้าได้ยื่นรายการและชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2534 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2535ผู้นั้นไม่ต้องเสียเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่ม ฉะนั้น ผู้ที่จะได้รับประโยชน์โดยได้รับยกเว้นเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวจะต้องชำระหนี้ค่าภาษีอากรแก่จำเลยจนครบถ้วนภายในระยะเวลาที่ประกาศกระทรวงการคลังกำหนด เมื่อโจทก์ทั้งสองยังมิได้ชำระหนี้ค่าภาษีอากรแก่จำเลยจนครบถ้วนภายในระยะเวลาที่ประกาศกระทรวงการคลังกำหนดโจทก์ทั้งสองย่อมไม่ได้รับยกเว้นเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าว

ปัญหาสุดท้ายที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า มีเหตุสมควรงดหรือลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า ในชั้นตรวจสอบและชั้นพิจารณาอุทธรณ์เจ้าพนักงานของจำเลยได้มีหนังสือเชิญโจทก์ทั้งสองเพื่อให้ชี้แจงและส่งมอบเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แต่โจทก์ทั้งสองก็มิได้ส่งมอบเอกสารค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้แก่จำเลยในชั้นตรวจสอบเพิ่งมานำส่งในชั้นพิจารณาอุทธรณ์นอกจากนี้ยังปรากฏว่า ในชั้นพิจารณาอุทธรณ์เจ้าพนักงานของจำเลยมีหนังสือเชิญโจทก์ที่ 1 ไปพบ เพื่อให้โจทก์ที่ 1 ชี้แจงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายค่าออกแบบอาคารและรากฐานถึงสองครั้ง แต่โจทก์ที่ 1 เพิกเฉย เห็นได้ว่าโจทก์ทั้งสองมิได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบการเสียภาษีอากรของโจทก์ทั้งสองแก่จำเลย กรณีจึงยังไม่มีเหตุสมควรงดหรือลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ทั้งสอง”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง

Share