คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4273/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลาย ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งอายัดเงินบำเหน็จของจำเลยไว้ ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ในวันที่ยื่นอุทธรณ์โจทก์ขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาโดยขอให้ศาลมีคำสั่งงดปล่อยการอายัดเงินบำเหน็จหรือให้จำเลยนำเงินดังกล่าวมาวางศาล ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องภายหลังจากจำเลยรับเงินบำเหน็จไปจากศาลแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องขอให้จำเลยนำเงินบำเหน็จที่รับไปแล้วมาวางศาลจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ดังนี้ เงินบำเหน็จดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์สินหรือเงินพิพาทกันโดยตรงในคดีล้มละลาย ศาลจะสั่งให้จำเลยนำเงินดังกล่าวมาวางต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาคดีแพ่งของศาลชั้นต้น จำนวน 125,910 บาท แต่จำเลยไม่มีทรัพย์สินใดที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ เป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย
จำเลยให้การว่า คดีของศาลชั้นต้นตามฟ้องอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยมีบ้านและที่ดินราคาประมาณ 200,000 บาทและมีสิทธิที่จะได้รับบำเหน็จและเงินช่วยสงเคราะห์ข้าราชการครูประมาณ 200,000 บาท ถือไม่ได้ว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัว
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองชั่วคราว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งอายัดเงินบำเหน็จจำนวน 131,700 บาทของจำเลยที่ 1 ไว้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ในวันเดียวกับวันที่ยื่นอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาโดยขอให้ศาลมีคำสั่งงดปล่อยการอายัดเงินบำเหน็จของจำเลยที่ 1 หรือ ให้จำเลยที่ 1 นำเงินดังกล่าวมาวางต่อศาล ศาลชั้นต้นสั่งว่า ทรัพย์สินที่โจทก์ขอตามคำร้องไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ให้ยกคำร้อง ต่อมาในวันเดียวกันแต่เป็นเวลาภายหลังที่จำเลยที่ 1 รับเงินบำเหน็จไปจากศาลแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาอีก โดยขอให้จำเลยที่ 1 นำเงินบำเหน็จที่รับไปแล้วมาวางต่อศาลจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ศาลชั้นต้นสั่งไต่สวนคำร้องแล้วส่งสำนวนต่อศาลอุทธรณ์เพื่อสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วสั่งว่า เมื่อจำเลยรับเงินไปแล้วย่อมไม่อาจใช้วิธีคุ้มครองชั่วคราวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ได้ ทั้งการจะเรียกให้จำเลยกลับนำเงินมาวางก็หาอาจสั่งให้จำเลยกระทำเช่นนั้นได้ไม่ จึงให้ยกคำร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาว่าโจทก์จะขอให้คุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264ได้หรือไม่ เห็นว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอให้จำเลยที่ 1 นำเงินบำเหน็จที่รับไปจากศาลแล้วมาวางต่อศาลจนกว่าคดีถึงที่สุด เงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์สินหรือเงินที่พิพาทกันโดยตรงในคดีล้มละลายดังนั้นศาลจะสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ไม่ได้ ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ไม่มีคำสั่งใด เพื่อยังผลให้โจทก์ได้รับความคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณานั้น เห็นว่าตามคำร้องของโจทก์มีคำขอแต่เพียงให้จำเลยที่ 1 นำเงินดังกล่าวมาวางต่อศาล ไม่มีคำขออื่นรวมอยู่ด้วย ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำเป็นจะต้องสั่งให้นำวิธีการอื่นนอกคำขอมาใช้ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องโจทก์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share