คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4263/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 2 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการหลอกลวงผู้เสียหาย จึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาว่าแม้จำเลยจะได้ชำระราคาสินค้าด้วยเช็คและเช็คบางฉบับเรียกเก็บเงินไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวในทางแพ่งและเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คอยู่แล้วจึงซ้ำซ้อนกับความผิดฐานฉ้อโกงนั้น ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์เพียงหยิบยกข้อเท็จจริงในเรื่องจำเลยจ่ายเช็คชำระราคาสินค้าประกอบการวินิจฉัยเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกง หาได้วินิจฉัยในเรื่องความผิดของจำเลยเนื่องจากจำเลยจ่ายเช็คชำระหนี้ไม่ข้อที่จำเลยฎีกาจึงเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นฎีกาแตกต่างจากที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นฎีกาโต้แถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยกับพวกได้ร่วมกันตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยไม่ได้จดทะเบียนแล้วนำชื่อห้างดังกล่าวไปอ้างใช้หลอกลวงเพื่อซื้อสินค้าจากผู้เสียหายหลายครั้งการซื้อชำระด้วยเงินสดบ้างชำระด้วยเช็คบ้าง ตอนแรกเช็คเบิกเงินได้บ้างซึ่งเป็นเพียงอุบายของจำเลยกับพวกเพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและขายสินค้าให้โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฉ้อโกงเอาสินค้าของผู้เสียหายโดยไม่ชำระราคามาแต่แรกพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยกับพวกแม้จะกระทำหลายครั้งแต่ก็โดยมีเจตนาเดียวกันเพื่อจะฉ้อโกงผู้เสียหายการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดกรรมเดียวและเมื่อการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหายแต่ละคนเป็นความผิดแต่ละกรรม ดังนั้น การกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย5 รายจึงเป็นความผิด 5 กระทง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายรวม 8 ราย ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งว่า จำเลยกับพวกได้จัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดวิชัยธุรกิจ ทำการติดต่อการค้ากับผู้เสียหาย จำเลยกับพวกต้องการซื้อสินค้าจากผู้เสียหายส่งให้ลูกค้า ผู้เสียหายหลงเชื่อมอบสินค้าให้จำเลยกับพวกไป ซึ่งความจริงแล้วห้างดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83, 91 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83, 91 ให้จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 28 กระทง รวมจำคุก 56 ปี ให้จำลยคืนหรือใช้ราคาแก่ผู้เสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 23 กระทง จำคุก46 ปี ลดโทษให้ตามมาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 30 ปี 8 เดือน ความผิดของจำเลยมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินกระทงละสามปี ยังคงให้จำคุก 10 ปี ยกฟ้องข้อหาที่นางหุงเกียงนางนันทนาและห้างหุ้นส่วนจำกัดเอเซียเทรดดิ้งเป็นผู้เสียหาย และจำเลยไม่ต้องรับผิดในการคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายทั้งสาม

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับผู้เสียหาย 5 รายซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยกับพวกร่วมกันฉ้อโกงนั้นปรากฏว่าคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 2 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามในส่วนนี้ จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218คงฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลย ไม่เป็นการหลอกลวงผู้เสียหาย จึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงผู้เสียหายนั้น เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาว่าแม้จำเลยจะได้ชำระราคาสินค้าด้วยเช็คและเช็คบางฉบับเรียกเก็บเงินไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวในทางแพ่ง และเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คอยู่แล้ว จึงซ้ำซ้อนกับความผิดฐานฉ้อโกงนั้นปรากฏว่าศาลอุทธรณ์เพียงหยิบยกข้อเท็จจริงในเรื่องจเลยจ่ายเช็คชำระราคาสินค้าประกอบการวินิจฉัยเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ศาลอุทธรณ์หาได้วินิจฉัยในเรื่องความผิดของจำลยเนื่องจากจำเลยจ่ายเช็คชำระหนี้ไม่ ดังนั้น ข้อที่จำเลยฎีกาจึงเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นฎีกาแตกต่างจากที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายฎีกาของจำลยดังกล่าวจึงต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

ส่วนฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยต่อผู้เสียหายทั้งหมดเป็นความผิดเพียงกรรมเดียวนั้น ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 222 โดยศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดวิชัยธุรกิจโดยไม่ได้จดทะเบียน แล้วนำชื่อห้างดังกล่าวไปอ้างใช้หลอกลวงเพื่อซื้อสินค้าจากนางสาวอนงค์ ประเภทเครื่องใช้ในสำนักงาน จากนางสาวอุษรา หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงรุ่งกิจการไฟฟ้า ซื้อสินค้าประเภทเครื่องไฟฟ้า จากนายพรดี ผู้จัดการฝ่ายขายของห้างหุ้นส่วนจำกัดสหชัยเอนเตอร์เทนแม้นท์ ซื้อเครื่องปรับอากาศ จากนายประสงค์กรรมการผู้จัดการบริษัทไมล์ฟอร์ดเทรดดิ้ง จำกัด เพื่อจะขอซื้อสินค้าไปขายและจากนายวิสุทธิ์ หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดวิชัยการค้าและอุตสาหกรรมขอซื้อไม้เพื่อนำไปกั้นห้องน้ำสำนักงานการซื้อได้ชำระด้วยเงินสดบ้าง ชำระด้วยเช็คบ้าง ตอนแรกเช็คเบิกเงินได้บ้าง เหล่านี้เป็นเพียงอุบายของจำเลยกับพวกเพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและขายสินค้าให้จำเลยกับพวก โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาหลอกลวงฉ้อโกงเอาสินค้าของผู้เสียหายโดยไม่ชำระราคามาแต่แรกข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา จึงยังไม่พอแก่การวินิจฉัย เห็นสมควรฟังข้อเท็จจริงต่อไป โดยได้ความจากนางสาวอนงค์ ผู้เสียหายว่าจำเลยกับพวกได้ติดต่อซื้อสินค้าจากร้านธนบุรีศึกษาของผู้เสียหาย ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม 2523 เป็นเวลา2 เดือน เช็คที่จำเลยกับพวกสั่งจ่ายชำระค่าสินค้า เรียกเก็บเงินได้ตลอด แต่มาเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2523 เช็คที่จำเลยจ่ายชำระค่ากระดาษโรเนียว กระดาษไขหมึกโรเนียว เครื่องคิดเลข กระดาษคาร์บอน รวม 3 ฉบับ เป็นเงิน 70,000 บาท ในนามห้างหุ้นส่วนจำกัดวิชัยธุรกิจ ได้ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินนางสาวอนงค์ผู้เสียหายจึงได้ติดต่อจำเลยกับพวกออกเช็คให้ใหม่ตามเอกสารหมาย จ.1 พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยกับพวกแม้จะกระทำหลายครั้ง แต่ก็โดยเจตนาเดียวกันเพื่อจะฉ้อโกงนางสาวอนงค์ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยกับพวกต่อนางสาวอนงค์ผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดกรรมเดียว

สำหรับห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงรุ่งกิจการไฟฟ้า ได้ความจากนางสาวอุษรา หุ้นส่วนผู้จัดการห้างดังกล่าวว่าจำเลยร่วมกับนายกำธรติดต่อซื้อสินค้าจำพวกเครื่องไฟฟ้าในนามของห้างหุ้นส่วนจำกัด วิชัยธุรกิจ โดยซื้อพัดลมดูดอากาศ แต่ชำระราคาด้วยเงินสด แล้วต่อมาได้ติดต่อซื้อสินค้าจำพวกพัดลมชนิดต่าง ๆ หม้อหุงข้าวไฟฟ้ากระทะไฟฟ้า เครื่องเป่าผมรวมทั้งสายไฟฟ้า หลอดไฟนีออน รวมหลายครั้ง ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5-จ.15 เป็นเงิน 147,109 บาท โดยจำเลยกับพวกจ่ายเช็คชำระค่าสินค้าเช็คบางฉบับขึ้นเงินได้และขึ้นเงินไม่ได้รวม 5 ฉบับ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.16-จ.19 และ จ.20 เช็คที่สั่งจ่ายเป็นเช็คที่จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายบ้าง นายกำธรลงลายมือชื่อสั่งจ่ายบ้างและได้ความต่อไปด้วยว่า นายกำธรได้เขียนเช็คไว้ล่วงหน้าเป็นปึกพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงชัดว่าการกระทำของจำเลยกับพวกมีเจตนาเดียวกันเพื่อจะฉ้อโกงห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงรุ่งกิจการไฟฟ้า แม้จำเลยกับพวกจะกระทำต่อนางสาวอุษรา หุ้นส่วนผู้จัดการห้างดังกล่าวหลายครั้งการกระทำของจำเลยกับพวก ก็เป็นความผิดกรรมเดียวเช่นกัน

กรณีของห้างหุ้นส่วนจำกัดสหชัยเอนเตอร์เทนเม้นท์ได้ความจากนายพรดี ผู้จัดการฝ่ายขายของห้างดังกล่าวว่า เมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2523 จำเลยได้ร่วมกับชายคนหนึ่ง ซึ่งอ้างว่าเป็นหุ้นส่วนที่ร่วมกันตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดวิชัยธุรกิจ รับซื้อและจำหน่ายสินค้าทั่วไป และระหว่างวันที่ 4 กรกฎาคม ถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2523 จำเลยได้ซื้อเครื่องปรับอากาศไปรวม 5 ครั้ง จำนวน 18 เครื่อง เป็นเงิน 150,000 บาทเศษโดยจ่ายเช็คชำระค่าสินค้าตามเอกสารหมาย จ.40-จ.44 ซึ่งแม้จำเลยจะได้กระทำต่อผู้เสียหายรายนี้ หลายครั้ง ก็ทำนองเดียวกับผู้เสียหายรายอื่น กล่าวคือพฤติการณ์ของจำเลยกับพวกก็โดยมีเจตนาเดียวกันเพื่อจะฉ้อโกงห้างหุ้นส่วนจำกัด สหชัยเอนเตอรเทนเม้นท์ แม้จำเลยกับพวกจะกระทำต่อผู้เสียหายหลายครั้ง การกระทำของจำเลยกับพวกก็เป็นความผิดกรรมเดียว

สำหรับบริษัทไมล์ฟอร์ดเทรดดิ้ง จำกัด ได้ความจากนายประสงค์ กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทดังกล่าวว่า จำเลยได้ร่วมกับนายประเสริฐซื้อสินค้าจำพวกพัดลมไฟฉาย และกระติกน้ำเพื่อนำไปขายที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดวิชัยธุรกิจ ในการซื้อครั้งแรกชำระด้วยเงินสด ต่อมาระหว่างวันที่ 22 กรกฎาคม ถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2523 จำเลยกับพวกได้ร่วมกันซื้อสินค้าจำพวกดังกล่าวไม่ทราบจำนวนรวม 4 ครั้ง เป็นเงิน76,376 บาท โดยจ่ายเช็คชำระค่าสินค้าปรากฏตามเอกสาร จ.50-จ.53 พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกที่กระทำต่อผู้เสียหายรายนี้ก็เช่นเดียวกัน แม้จำเลยกับพวกจะกระทำต่อผู้เสียหายหลายครั้งแต่จำเลยกับพวกก็มีเจตนาเดียวกันเพื่อจะฉ้อโกงผู้เสียหายการกระทำของจำเลยกับพวก จึงเป็นความผิดเพียงกรรมเดียว

กรณีห้างหุ้นส่วนจำกัดวิชัยการค้าและอุตสาหกรรม ก็ได้ความจากนายวิสุทธิ์หุ้นส่วนผู้จัดการทำนองเดียวกันว่า เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2523 จำเลยในนามของนายวิชัย ได้ซื้อสินค้าจำพวกไม้จากผู้เสียหายไปด้วยเงินสดแล้วสั่งซื้อสินค้าจำพวกไม้อัดในเวลาต่อมา โดยจำเลยจ่ายเช็คชำระราคาลงลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเป็นภาษาจีน มีตราห้างหุ้นส่วนจำกัดวิชัยธุรกิจประทับเมื่อเช็คขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยก็ได้เปลี่ยนเช็คได้ใหม่ลงชื่อจำเลยในนาม “ธวัช” เช็คจึงขึ้นเงินได้ ต่อมาจำเลยและนายกำธรได้ซื้อสินค้าจำพวกสังกะสี ไม้ตง ไม้คร่าว ไม้อัด รวมเป็นเงิน 21,000 บาทเศษ ผู้เสียหายได้รับชำระค่าสินค้าด้วยเช็คจากนายกำธรและเมื่อเช็คขึ้นเงินไม่ได้ นายกำธรก็ได้เปลี่ยนเช็คให้ใหม่จนขึ้นเงินได้ ส่วนการซื้อไม้อัดเมื่อวันที่ 18 และ 19 กรกฎาคม 2523 นั้น นายกำธรเป็นผู้สั่งสินค้าจำพวกไม้อัดรวมเป็นเงิน 21,000 บาทเศษ และนายกำธรคนเดียวกันนี้ได้โทรศัพท์สั่งซื้อสินค้าอีก 3 ครั้ง เป็นเงิน 80,000 บาทเศษคราวนี้ให้จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็ครวม3 ฉบับ และเมื่อเช็คทั้งสี่ฉบับถูกธนาคารปฏิเสธ นายกำธรได้เปลี่ยนเช็คฉบับใหม่ให้เป็นเช็คของนายกำธรเองเป็นเงิน 87,450 บาท และสั่งซื้อไม้อัดอีก 50 แผ่น เป็นเงิน9,000 บาท นายกำธรลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คอีกเช่นกัน จะเห็นได้ว่า แม้จำเลยกับพวกจะช่วยกันสั่งซื้อสินค้าหลายครั้งหลายคราว โดยจำเลยจ่ายเช็คบ้างพวกของจำเลยจ่ายบ้าง มีการเปลี่ยนเช็คบ้าง ล้วนแต่เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาเดียวกันเพื่อจะฉ้อโกงห้างหุ้นส่วนจำกัดวิชัยการค้าและอุตสาหกรรม แม้จำเลยกับพวกจะกระทำต่อผู้เสียหายหลายครั้ง การกระทำของจำเลยก็เป็นกรรมเดียว เมื่อการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหายแต่ละคนเป็นความผิดแต่ละกรรม การกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหายรวม 5 ราย จึงเป็นความผิด 5 กระทงที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยรวม 23 กระทง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน

พิพากาาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยรวม 5 กระทงจำคุกจำเลยกระทงละ 2 ปี รวมเป็นโทษจำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share