แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ที่ทำขึ้นก่อนที่จำเลยผูกนิติสัมพันธ์กับโจทก์ซึ่งเป็นการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีล่วงหน้าก็มีผลใช้ได้ โจทก์มอบอำนาจให้ย. มีอำนาจทำกิจการต่างๆตามที่ระบุไว้รวมทั้งฟ้องคดีเรียกร้องหนี้สินเนื้อหาในหนังสือมอบอำนาจจึงมิใช่เป็นกรณีที่ย. ซึ่งเป็นตัวแทนได้รับมอบอำนาจทั่วไปจากโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา801หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ย่อมสมบูรณ์มีผลใช้ได้ตามกฎหมาย โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ใช้บัตรเครดิตที่โจทก์มอบให้ไปใช้จ่ายเพื่อชำระค่าสินค้าและค่าบริการต่างๆโจทก์ได้แจ้งรายการใช้บัตรเครดิตที่โจทก์จ่ายแทนไปให้จำเลยตามกำหนดในแต่ละเดือนจำเลยไม่นำเงินมาหักทอนบัญชีกับโจทก์เป็นเวลาหลายเดือนจำเลยเป็นหนี้โจทก์294,702.43บาทจำเลยให้การปฏิเสธแต่เพียงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะก่อภาระหนี้โดยใช้บัตรเครดิตของโจทก์ภาระหนี้ที่โจทก์อ้างเกิดขึ้นจากแหล่งอื่นซึ่งเป็นผู้ทำขึ้นจำเลยจึงไม่เป็นลูกหนี้โจทก์และไม่ผิดสัญญาต่อโจทก์คำให้การของจำเลยมิได้อ้างเหตุแห่งการนั้นไว้ในคำให้การว่าจำเลยมิได้เป็นลูกหนี้โจทก์และไม่ได้ผิดสัญญาต่อโจทก์เพราะเหตุใดจึงเป็นคำให้การที่ไม่แจ้งชัดซึ่งเหตุแห่งการนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองจำเลยไม่มีสิทธินำพยานมาสืบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายยงยุทธ กิจวรรณพัฒนาฟ้องคดีแทนและแต่งตั้งทนายความได้ด้วย จำเลยเป็นลูกค้าของโจทก์ประเภทบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2532จำเลยได้สมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตวีซ่าของโจทก์โดยจำเลยตกลงกับโจทก์ว่า จำเลยจะปฏิบัติและยอมผูกพันตนตามที่โจทก์กำหนดโดยโจทก์จะให้สิทธิแก่จำเลยเป็นผู้ถือบัตรเครดิตวีซ่า สามารถเบิกเงินสดเพื่อชำระค่าสินค้าหรือค่าบริการแทนเงินสดจากบรรดาร้านค้าซึ่งเป็นตัวแทนรับบัตรเครดิตวีซ่าของโจทก์ รายการใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตวีซ่าที่จำเลยได้ใช้จ่ายไป โจทก์จะเป็นผู้จ่ายแทนให้แก่บรรดาตัวแทนที่เรียกเก็บไปก่อน และโจทก์จะจัดส่งรายการใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตวีซ่าดังกล่าวให้จำเลยรับทราบทุกวันที่ 25 ของเดือน เพื่อให้จำเลยนำเงินชำระคืนให้โจทก์เพื่อหักทอนบัญชีกันภายในวันที่ 6 ของเดือน จากบัญชีกระแสรายวันหากจำเลยไม่ชำระจำเลยให้ถือว่าเป็นการขอเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์และยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามระเบียบปฏิบัติในการคิดดอกเบี้ยเบิกเงินเกินบัญชีของธนาคารบัตรเครดิตวีซ่าเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์มีสิทธิที่จะยกเลิกการใช้หรือเรียกเก็บคืนเมื่อใดก็ได้ จำเลยได้ใช้บัตรเครดิตวีซ่าที่โจทก์มอบให้ไปใช้จ่ายชำระค่าสินค้าและค่าบริการต่าง ๆ ในระยะหลังเมื่อโจทก์แจ้งรายการใช้บัตรเครดิตวีซ่าที่โจทก์จ่ายแทนไปให้จำเลยครบกำหนดในแต่ละเดือน จำเลยไม่นำเงินมาหักทอนบัญชีกับโจทก์เป็นเวลาหลายเดือน ภาระหนี้ณ วันที่ 26 เมษายน 2533 จำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 294,702.43บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน299,789.07 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 294,702.43 บาท นับแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2533เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์นำหนังสือมอบอำนาจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ถูกต้องสมบูรณ์ตามแบบมาฟ้องจำเลย โจทก์จัดทำหนังสือมอบอำนาจมาฟ้องจำเลยก่อนที่มูลหนี้จะเกิดขึ้น และก่อนที่จำเลยจะยินยอมตกลงเป็นลูกค้าของโจทก์ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นการใช้สิทธิที่ไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 294,702.43 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่27 เมษายน 2533 ถึงวันชำระเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อแรกตามฎีกาของจำเลยมีว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ขอแก้ไขวันฟ้องในคำฟ้องจากวันที่ 8 มิถุนายน 2533 เป็นวันที่ 15 มิถุนายน 2533เป็นสาระสำคัญ เพราะทำให้ยอดหนี้เปลี่ยนแปลง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ฟ้องเคลือบคลุมเป็นคำฟ้องที่ไม่แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น การที่โจทก์เพียงแต่ขอแก้ไขคำฟ้องในส่วนที่คิดอัตราดอกเบี้ยถึงวันฟ้องให้ตรงกับวันที่ที่โจทก์ยื่นคำฟ้องตามความเป็นจริง ไม่มีผลทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแต่อย่างใดส่วนดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเป็นเรื่องที่จะต้องคำนวณให้ถูกต้องอีกขั้นตอนหนึ่ง ฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว
ปัญหาข้อสองตามฎีกาของจำเลยมีว่า หนังสือมอบอำนาจของโจทก์มีผลใช้ได้ตามกฎหมายหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ทำเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2531 แต่จำเลยผูกนิติสัมพันธ์กับโจทก์เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2532การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีล่วงหน้าสิทธิของโจทก์ยังไม่เกิดขึ้นหนังสือมอบอำนาจจึงไม่มีผลตามกฎหมายนั้น เห็นว่า หนังสือมอบอำนาจเป็นกรณีที่ตัวการมอบหมายให้ตัวแทนทำกิจการใด ๆ ที่มิใช่กิจการเฉพาะตัว แทนตัวการ ตัวการย่อมมอบอำนาจให้ตัวแทนทำกิจการใด ๆล่วงหน้า รวมทั้งการฟ้องคดีได้โดยไม่จำกัดเวลาและหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนั้นไม่จำต้องระบุบุคคลที่ต้องถูกฟ้องไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าเป็นผู้ใด ส่วนตัวการจะมีอำนาจฟ้องบุคคลใดได้หรือไม่เป็นเรื่องที่จะพิจารณาในขณะยื่นคำฟ้องว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของตัวการตามกฎหมายแพ่งหรือไม่ ภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องหมายเลข 2 หรือต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 โจทก์มอบอำนาจให้นายยงยุทธ กิจวรรณพัฒนามีอำนาจทำกิจการต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้รวมทั้งฟ้องคดีเรียกร้องหนี้สิน ฯลฯ ด้วย เนื้อหาในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงมิใช่เป็นกรณีที่นายยงยุทธซึ่งเป็นตัวแทนได้รับมอบอำนาจทั่วไปจากโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 801 ดังนั้นหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ดังกล่าวย่อมสมบูรณ์ มีผลใช้ได้ตามกฎหมาย
ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยผิดสัญญา และจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ใช้บัตรเครดิตวีซ่าที่โจทก์มอบให้ไปใช้จ่ายเพื่อชำระค่าสินค้าและค่าบริการต่าง ๆ โจทก์ได้แจ้งรายการใช้บัตรเครดิตวีซ่าที่โจทก์จ่ายแทนไปให้จำเลยตามกำหนดในแต่ละเดือน จำเลยไม่นำเงินมาหักทอนบัญชีกับโจทก์เป็นเวลาหลายเดือน ภาระหนี้ ณ วันที่26 เมษายน 2533 จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 294,702.43 บาท จำเลยให้การปฏิเสธแต่เพียงว่า จำเลยมิได้มีเจตนาที่จะก่อภาระหนี้โดยใช้บัตรเครดิตวีซ่าของโจทก์ ภาระหนี้ที่โจทก์อ้างเกิดขึ้นจากแหล่งอื่นซึ่งเป็นผู้ทำขึ้น จำเลยจึงไม่เป็นลูกหนี้โจทก์และไม่ผิดสัญญาต่อโจทก์ คำให้การของจำเลยมิได้อ้างเหตุแห่งการนั้นไว้ในคำให้การว่าจำเลยมิได้เป็นลูกหนี้โจทก์ และไม่ได้ผิดสัญญาต่อโจทก์เพราะเหตุใด จึงเป็นคำให้การที่ไม่แจ้งชัด ซึ่งเหตุแห่งการนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองจำเลยไม่มีสิทธินำพยานมาสืบ โจทก์นำสืบให้เห็นว่าจำเลยได้ใช้บัตรเครดิตวีซ่าของโจทก์ชำระค่าสินค้าและค่าบริการจากร้านค้าต่าง ๆ โจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายให้ร้านค้าตามกำหนดทุกวันที่ 6 ของเดือน เมื่อคำนวณถึงวันที่ 26 เมษายน 2533จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 294,702.43 บาท ตามรายการในบัญชีเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.19 นอกจากนี้จำเลยได้มีหนังสือถึงผู้จัดการสาขาบางเขนของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.24 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม2532 ยอมรับสภาพหนี้ว่าจำเลยได้ใช้บัตรเครดิตวีซ่าเป็นหนี้โจทก์ประมาณ 227,022.57 บาท และเสนอผ่อนชำระเดือนละ10,000 บาท ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่โจทก์ฟ้องคดีนานถึง 9 เดือนเศษรายการบัญชีตามเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.19 ถือได้ว่าเป็นหลักฐานแห่งหนี้โจทก์ซึ่งเป็นธนาคารมีหน้าที่จะต้องจัดทำบัญชีและหลักฐานต่าง ๆ ขึ้น สำหรับลูกค้าของโจทก์ทุกราย เพื่อแสดงยอดเงินฝากและเงินถอนระหว่างโจทก์กับลูกค้าแต่ละรายว่าเป็นหนี้ต่อกันหรือไม่เพียงใด จึงมีเหตุผลเชื่อได้ว่า โจทก์คิดคำนวณโดยสุจริตในการดำเนินธุรกิจของตนถูกต้องตามความเป็นจริงศาลรับฟังรายการบัญชีดังกล่าวได้ว่าจำเลยเป็นหนี้ตามที่โจทก์ฟ้องโดยไม่จำต้องอาศัยพยานหลักฐานอื่นพิสูจน์หนี้ของจำเลย”
พิพากษายืน