คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4259/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกเป็นกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายชั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 31 มิได้บังคับว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องจัดประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกภายในเขตศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีล้มละลายนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองจัดการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกที่ราชตฤณมัยสมาคม โดยคำนึงถึงความสะดวกของเจ้าหนี้ผู้เข้าร่วมประชุมซึ่งมีจำนวนหลายพันคนเป็นสำคัญ มิได้มีเจตนากลั่นแกล้งจำเลยทั้งสอง การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองจัดให้มีการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกนอกเขตศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีล้มละลายคดีนี้ จึงกระทำได้โดยชอบ ในวันประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก การที่เจ้าหนี้บางรายกลับไปก่อนโดยไม่ร่วมพิจารณาคำขอประนอมหนี้ก็เป็นสิทธิเฉพาะตัวของเจ้าหนี้เพราะไม่มีกฎหมายบังคับว่าเจ้าหนี้ต้องอยู่ร่วมด้วยทุกคนเสมอไป ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองไว้เด็ดขาด ศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานแล้วเห็นว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว คำสั่งดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองไม่อาจอ้างว่าตนไม่ใช่ผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวต่อที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกเพื่อขอให้ศาลรอการพิพากษาให้จำเลยทั้งสองล้มละลายไว้ก่อนได้อีก

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527และมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด ต่อมาผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองได้จัดให้มีการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกตามความในมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 เพื่อพิจารณาคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายของจำเลยทั้งสองซึ่งขอประนอมหนี้ในอัตราร้อยละ 40 ของหนี้ที่ศาลอนุญาตให้รับชำระได้และจะชำระในคราวเดียวกับเรื่องอื่น ๆ โดยจัดให้มีการประชุมณ ราชตฤณมัยสมาคม กรุงเทพมหานคร ก่อนถึงวาระพิจารณาคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายของจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 2 เดินทางไปถึงสถานที่ประชุมและขอแก้ไขคำขอประนอมหนี้เป็นชำระเต็มร้อยละ 100ภายในเวลา 4 ปี ที่ประชุมเจ้าหนี้ลงมติยอมรับคำขอประนอมหนี้ด้วยจำนวนเสียงเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมาก แต่จำนวนหนี้ไม่ถึงสามในสี่แห่งจำนวนหนี้ทั้งหมดของเจ้าหนี้ที่เข้าร่วมประชุมและได้ออกเสียงลงคะแนนในมตินั้น ทำให้ไม่ได้มติพิเศษตามมาตรา 6 ประกอบมาตรา 45
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลรอการพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายไว้ก่อน และขอให้สั่งผู้คัดค้านจัดการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกขึ้นใหม่โดยอ้างว่าการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากผู้คัดค้านจัดให้มีการประชุมนอกเขตศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ประกอบกับเจ้าหนี้บางรายกลับไปก่อนจำเลยที่ 2 ไปถึงสถานที่ประชุมและขอแก้ไขคำขอประนอมหนี้ การออกเสียงลงคะแนนของที่ประชุมเจ้าหนี้สับสนและไม่ได้เสียงที่แท้จริงจำเลยทั้งสองมิได้มีหนี้สินล้นพ้นตัว กับเหตุอื่น ๆ อีกหลายประการผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า การประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกจัดขึ้นโดยชอบและการลงมติของเจ้าหนี้ชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยข้อแรกว่าผู้คัดค้านจัดให้มีการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกนอกเขตศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีล้มละลายคดีนี้ได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกเป็นกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายชั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 31 เพียงแต่บัญญัติให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเร็วที่สุด เพื่อปรึกษาว่าควรยอมรับคำขอประนอมหนี้ของลูกหนี้หรือควรขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายและปรึกษาถึงวิธีที่จะจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไปเท่านั้นมิได้บังคับว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องจัดประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกภายในเขตศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีล้มละลายนั้นและการจัดประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกในคดีนี้ ผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองจัดให้มีขึ้นที่ราชตฤณมัยสมาคมก็โดยคำนึงถึงความสะดวกของเจ้าหนี้ผู้เข้าร่วมประชุมซึ่งมีจำนวนหลายพันคนเป็นสำคัญ มิได้มีเจตนากลั่นแกล้งจำเลยทั้งสอง การที่ผู้คัดค้านจัดให้มีการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกนอกเขตศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีล้มละลายคดีนี้ จึงกระทำได้โดยชอบ
ประเด็นที่จำเลยทั้งสองฎีกาต่อมามีว่า เจ้าหนี้บางรายกลับก่อนที่จำเลยที่ 2 จะไปถึงที่ประชุมและขอแก้ไขคำขอประนอมหนี้ การออกเสียงลงคะแนนของที่ประชุมเจ้าหนี้สับสนและไม่ได้คะแนนเสียงที่แท้จริงและถูกต้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำเลยทั้งสองเคยขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายโดยขอชำระหนี้ในอัตราร้อยละ 40ของหนี้ที่ศาลอนุญาตให้รับชำระได้และจะชำระในคราวเดียวโดยนำคำขอยื่นต่อผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2532 ซึ่งเมื่อนับถึงวันประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกในวันที่ 6 มีนาคม 2533 เป็นเวลาถึง 8 เดือน อันเป็นเวลานานพอที่จำเลยทั้งสองจะแก้ไขคำขอประนอมหนี้ก่อนวันที่ 6 มีนาคม 2533 ได้ แต่จำเลยทั้งสองก็หาได้แก้ไขไม่นอกจากนี้ปรากฏตามรายงานของผู้คัดค้านฉบับลงวันที่ 6 มีนาคม 2533ว่า ผู้คัดค้านได้บันทึกรายละเอียดและวาระในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกไว้ตามระเบียบและขั้นตอนที่กำหนด หาได้มีข้อสับสนดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาไม่ ทั้งการที่เจ้าหนี้บางรายได้กลับไปก่อนโดยไม่พิจารณาคำขอประนอมหนี้ก็เป็นสิทธิเฉพาะตัวของเจ้าหนี้ที่จะเข้าร่วมประชุมพิจารณาคำขอประนอมหนี้หรือไม่ก็ได้ เพราะไม่มีบทกฎหมายบังคับว่าเจ้าหนี้ต้องอยู่ร่วมด้วยทุกคนเสมอไป
ประเด็นสุดท้ายมีว่า จำเลยทั้งสองขอให้ศาลสั่งผู้คัดค้านจัดประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกขึ้นใหม่เพื่อให้จำเลยทั้งสองแสดงหลักฐานว่ามิได้มีหนี้สินล้นพ้นตัวและให้ศาลรอการพิพากษาให้จำเลยทั้งสองล้มละลายไว้ก่อนได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองไว้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 28เมษายน 2532 ซึ่งก่อนที่จะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองไว้เด็ดขาดนั้น ศาลชั้นต้นได้พิจารณาพยานหลักฐานแล้วเห็นว่าแล้วเห็นว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว คำสั่งดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองไม่อาจอ้างว่าตนไม่ใช่ผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวในชั้นนี้ได้อีก
พิพากษายืน

Share