คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4257/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยให้การรับสารภาพว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง เพื่อเสพ แต่ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ตามที่โจทก์ฟ้อง มีผลเท่ากับจำเลยให้การปฏิเสธรวมไปถึง เงินจำนวน 800 บาท ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้มาจากการจำหน่าย เมทแอมเฟตามีนจำนวนอื่นด้วยนั่นเอง รูปคดีทำให้โจทก์ มีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมานำสืบให้ได้ความชัดว่าเงินจำนวน 800 บาท นั้นจำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวนอื่นจริงดังที่โจทก์อ้าง แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใด นอกจากอ้างถึงคำรับของจำเลยในชั้นจับกุมและสอบสวนเท่านั้น ซึ่งข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวจำเลยได้ให้การปฏิเสธ และเบิกความปฏิเสธในชั้นพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสิ้น โดยที่โจทก์ไม่สามารถถามค้านเพื่อให้เห็นเป็นอย่างอื่นได้ เพียงเท่านี้คดีโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าเงินจำนวน 800 บาท เป็นเงินที่จำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวนอื่นดังที่โจทก์อ้าง จึงริบไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 6 เม็ด น้ำหนัก0.54 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยการขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำนวน 1 เม็ด ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา100 บาท เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจำนวน100 บาท เมทแอมเฟตามีนดังกล่าวและเงินสดอีกจำนวน 800 บาทซึ่งเป็นเงินที่จำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวนอื่นเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนและเงินสดจำนวน 800 บาท ของกลาง คืนธนบัตรจำนวน 100 บาท ที่ใช้ล่อซื้อของกลางแก่เจ้าพนักงาน
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อเสพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามคงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางคืนธนบัตรจำนวน 100 บาท ที่ใช้ล่อซื้อ แก่เจ้าพนักงาน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วปัญหาที่ขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาก็คือจะริบเงินจำนวน 800 บาท ของกลางได้หรือไม่ โดยที่จำเลยให้การรับสารภาพว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อเสพ แต่ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามที่โจทก์ฟ้อง ปรากฏตามคำให้การจำเลย ฉบับลงวันที่1 กันยายน 2540 จากคำให้การเช่นนี้มีผลเท่ากับจำเลยให้การปฏิเสธรวมไปถึงเงินจำนวน 800 บาท ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวนอื่นด้วยนั่นเอง รูปคดีทำให้โจทก์มีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมานำสืบให้ได้ความชัดว่าเงินจำนวน800 บาท นั้นจำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวนอื่นจริงดังที่โจทก์อ้าง แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใด นอกจากอ้างถึงคำรับของจำเลยในชั้นจับกุมและสอบสวนตามบันทึกการตรวจค้นและจับกุมและบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาของสถานีตำรวจนครบาลบางพลัดเอกสารหมาย จ.5 และ จ.8 เท่านั้น ซึ่งข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวจำเลยได้ให้การปฏิเสธและเบิกความปฏิเสธในชั้นพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสิ้น โดยที่โจทก์ไม่สามารถถามค้านเพื่อให้เห็นเป็นอย่างอื่นได้เพียงเท่านี้คดีโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าเงินจำนวน 800 บาท เป็นเงินที่จำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวนอื่นดังที่โจทก์อ้างจึงริบไม่ได้ ฉะนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาไม่ริบเงินจำนวน800 บาท มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share