แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในวันนำเข้าสินค้าโจทก์ได้ชำระภาษีอากรเฉพาะตามจำนวนที่สำแดงไว้แต่เนื่องจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยไม่พอใจราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าโจทก์จึงได้วางหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารเป็นหลักประกันค่าภาษีอากรที่อาจจะต้องชำระเพิ่มเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยยืนยันการประเมินเพิ่มภายหลังทั้งนี้เพื่อโจทก์จะได้นำสินค้าพิพาทออกจากอารักขาของจำเลยตามที่พระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ.2469มาตรา112กำหนดไว้ต่อมาเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ยืนยันประเมินให้โจทก์ชำระเงินค่าภาษีอากรเพิ่มโจทก์ได้นำเงินไปชำระและรับหลักประกันหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารที่วางไว้คืนยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ชำระภาษีอากรเพิ่มในชั้นนำเข้าสินค้าพิพาทเพราะการกระทำดังกล่าวเป็นเพียงการดำเนินการตามที่พระราชบัญญัติ ศุลกากรฯมาตรา112ทวิวรรคหนึ่งกำหนดวิธีการไว้การกระทำดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ชำระค่าภาษีอากรจนครบถ้วนหรือวางเงินไว้เป็นประกันก่อนจะนำของออกไปจากอารักขาของกรมศุลกากรตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯมาตรา40กำหนดไว้อันจะถือว่าโจทก์ได้เสียเงินอากรเกินกว่าจำนวนที่พึงต้องชำระเพราะเหตุอันเกี่ยวกับราคาแห่งของอันจะอยู่ในบังคับสิทธิเรียกร้องขอคืนเงินอากรที่ได้เสียไว้เกินกำหนด2ปีนับแต่วันที่นำสินค้าเข้าตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯมาตรา10วรรคห้าหากแต่เป็นเรื่องที่โจทก์ชำระค่าอากรเพิ่มเกินกว่าจำนวนที่พึงต้องชำระโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ประเมินเงินอากรเพิ่มเพราะเหตุอันเกี่ยวกับราคาแห่งของซึ่งเป็นไปตามมาตรา112ทวิวรรคหนึ่งและวรรคสองแห่งพระราชบัญญัติ ศุลกากรฯซึ่งพระราชบัญญัติศุลกากรฯดังกล่าวก็มิได้บัญญัติเกี่ยวกับอายุความในกรณีนี้ไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้กำหนดอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/30
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของจำเลยเกี่ยวกับสินค้าของโจทก์ที่นำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเลขที่ 033-21193, 053-24128, 073-25462, 093-20478,103-23389, 103-23758, และ 024-20546 ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 1,684, 434.13 บาท แก่โจทก์ และชดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินต้น 1,386,726.80 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาตามอุทธรณ์โจทก์มีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ปัญหานี้เห็นว่าโจทก์และจำเลยนำสืบต้องกันฟังได้ว่า โจทก์ได้นำเข้าสินค้าพิพาทระหว่างเดือนมีนาคม 2533 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2534 ตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเลขที่ 033-21193 (ลงวันที่15 มีนาคม 2533) เลขที่ 053-24128 (ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2533)เลขที่ 073-25462 (ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2533) เลขที่ 093-20478(ลงวันที่ 8 กันยายน 2533) เลขที่ 103-23389 (ลงวันที่ 20ตุลาคม 2533) เลขที่ 103-23758 (ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2533)และเลขที่ 024-20546 (ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2534) ซึ่งเป็นวันนำเข้าสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าทั้ง 7 ฉบับ โจทก์ได้ชำระภาษีอากรเฉพาะตามจำนวนที่ได้สำแดงไว้แต่เนื่องจากพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยไม่พอใจราคาสินค้าที่โจทก์ได้สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า โจทก์จึงได้วางหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารเป็นหลักประกันค่าภาษีอากรที่อาจต้องชำระเพิ่มเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยยืนยันการประเมินเพิ่มภายหลัง ทั้งนี้เพื่อโจทก์จะได้นำสินค้าพิพาทออกจากอารักขาของจำเลยตามที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 112 กำหนดไว้ ต่อมาเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ยืนยันประเมินให้โจทก์ชำระเงินค่าภาษีอากรเพิ่ม โจทก์ได้นำเงินไปชำระและรับหลักประกันหนังสือค้ำประกันธนาคารที่วางไว้คืนจากข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ดังกล่าว จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ชำระภาษีอากรเพิ่มในชั้นนำเข้าสินค้าพิพาท เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นเพียงการดำเนินการตามที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 112 ทวิ วรรคหนึ่ง กำหนดวิธีการไว้ ที่โจทก์ชำระค่าภาษีอากรตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยยืนยันแจ้งให้ชำระเพิ่มในภายหลังตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าแต่ละฉบับ รวม7 ฉบับดังกล่าว จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ชำระค่าภาษีอากรจนครบถ้วนหรือวางเงินไว้เป็นประกันก่อนจะนำของไปจากอารักขาของศุลกากรตามที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 40 กำหนดไว้อันจะถือได้ว่าโจทก์ได้เสียเงินอากรเกินกว่าจำนวนที่พึงต้องชำระเพราะเหตุอันเกี่ยวกับราคาแห่งของอันจะอยู่ในบังคับสิทธิเรียกร้องขอคืนเงินอากรที่ได้เสียไว้เกินกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่นำสินค้าเข้าตามบทบัญญัติมาตรา 10 วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469หากแต่เป็นเรื่องที่โจทก์ชำระค่าอากรเพิ่มเกินกว่าจำนวนที่พึงต้องชำระ โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ประเมินเงินอากรเพิ่มเพราะเหตุอันเกี่ยวกับราคาแห่งของซึ่งเป็นไปตามมาตรา 112 ทวิวรรคหนึ่งและวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469ซึ่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ดังกล่าว ก็มิได้บัญญัติเกี่ยวกับอายุความในกรณีนี้ไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้กำหนดอายุความ10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2537 ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี นับตั้งแต่โจทก์รับแจ้งการประเมินตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าแต่ละฉบับ ระหว่างเดือนมีนาคม 2533 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2534คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น เมื่อฟังว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยปัญหาตามประเด็นที่ศาลภาษีอากรกลางกำหนดไว้ตามลำดับต่อไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยอีก พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อว่าราคาสินค้าที่โจทก์สำแดงต่อจำเลยตรงตามความเป็นจริงแล้ว การประเมินของจำเลยไม่ชอบ ปัญหาตามประเด็นข้อสุดท้ายมีว่าจำเลยต้องคืนเงินค่าภาษีอากรพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์หรือไม่เพียงใดปัญหานี้ เห็นว่า เมื่อจำเลยประเมินราคาสินค้าโจทก์ผิดจากความเป็นจริงเป็นผลทำให้โจทก์ต้องชำระค่าภาษีอากรเพิ่มขึ้นจำเลยจึงมีหน้าที่ต้องคืนภาษีอากรส่วนที่เรียกเก็บเพิ่มโดยไม่ชอบแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่รับชำระจากโจทก์จนกว่าจะคืนเสร็จสิ้น”
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการประเมินตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเลขที่ 033-21193, 053-24128, 073-25462,093-20478, 103-23389, 103-23758 และ 024-20546 ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 1,684,834.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของเงินต้น 1,386,726.80 บาท นับแต่วันฟ้อง(วันที่ 11 มกราคม 2537) จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น