คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1230/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนฟ้องโจทก์จำเลยได้ทำหนังสือตกลงประนีประนอมกันต่อหน้าอำเภอว่าจำเลยยอมให้เงินโจทก์ 1,000 บ. แล้วขอรับเอาที่ดินเป็นกรรมสิทธิของจำเลยฝ่ายโจทก์ยอมเอาเงิน1,000 บ. และยอมให้ที่ดินพิพาท แก่จำเลยเป็นกรรมสิทธิ
การตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเช่นนี้จึงต้องบังคับด้วย ก.ม. ลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีกรรมสิทธิในที่พิพาท ๕ ไร่ จำเลยอาศัยปลูกเรือนอยู่ต่อมาได้รื้อออกไปครั้นโจทก์จะเข้าทำประโยชน์จำเลยขัดขวางโจทก์จึงไปร้องต่ออำเภอ ๆ เปรียบเทียบ จำเลยยอมให้เงินแก่โจทก์ ๑,๐๐๐ บ. โดยโจทก์ยอมขายที่ดินให้แก่จำเลย ถึงกำหนดจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำเปรียบเทียบ โจทก์จึงฟ้อง
จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ เป็นของบิดามารดายกให้ โจทก์ได้ตกลงขายที่ดิน ๒ ไร่ที่อยู่ติดกับที่พิพาท แต่โจทก์กลับนำเจ้าพนักงานไปรังวัดที่พิพาท จำเลยจึงไม่ยอมรับซื้อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินหมายสีแดง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าก่อนฟ้องโจทก์จำเลยได้ทำหนังสือตกลงประนีประนอมกันต่อหน้าอำเภอเมื่อวันที่ ๑๙ มี.ค. ๙๖ จำเลยยอมให้เงินโจทก์ ๑,๐๐๐ บ.แล้วขอรับเอาที่ดินเป็นกรรมสิทธิของจำเลย ฝ่ายโจทก์ยอมเอาเงิน ๑,๐๐๐ บ.และยอมให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลยเป็นกรรมสิทธิ การตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเช่นนี้จึงต้องบังคับด้วย ก.ม.ลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความและตามฎีกาของโจทก์มิได้โต้แย้งว่ากรณีมิใช่เรื่องสัญญาประนีประนอมยอมความ ฯลฯ
พิพากษายืน

Share