คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 424/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บทบัญญัติ ป.อ. มาตรา 22 เป็นบทกำหนดหลักเกณฑ์ในการบังคับโทษจำคุกว่า ให้เริ่มนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาโดยมีข้อยกเว้นในกรณีที่ศาลจะมีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่น การที่ศาลมีคำพิพากษาให้นับโทษจำคุกจำเลยติดต่อกับโทษในคดีอาญาอื่น ย่อมมีความหมายว่าคำพิพากษาได้กล่าวถึงเวลาเริ่มการบังคับโทษจำคุกไว้เป็นอย่างอื่น โดยไม่ให้เริ่มนับแต่วันมีคำพิพากษาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดข้างต้น
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าคดีอาญาที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยแม้จะพิพากษาให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแทน ก็ไม่เป็นการต้องห้ามที่ศาลจะกำหนดเวลาเริ่มการบังคับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้เป็นอย่างอื่นด้วยการให้นับโทษจำคุกจำเลยติดต่อกับโทษในคดีดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 4, 114 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนด 10 ปี และนับโทษจำเลยต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาดังกล่าว
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 114 วรรคสอง อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง จำคุก 2 ปี 6 เดือน นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 891/2550 ของศาลชั้นต้น และเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนด 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอนับโทษต่อ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า แม้โจทก์ไม่ระบุรายละเอียดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 891/2550 ของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อว่าพิพากษาลงโทษจำเลยอย่างไร แต่ข้อเท็จจริงก็ปรากฏต่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 ซึ่งพิพากษาคดีดังกล่าวเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 2416/2551 ว่า ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่นับโทษจำคุกคดีนี้ต่อจากโทษคดีหมายเลขแดงที่ 891/2550 ของศาลชั้นต้น จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 22 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายอาญา ที่บัญญัติว่า “โทษจำคุก ให้เริ่มนับแต่วันมีคำพิพากษาแต่ถ้าผู้ต้องคำพิพากษาถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษา ให้หักจำนวนวันที่ถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา เว้นแต่คำพิพากษานั้นจะกล่าวไว้เป็นอย่างอื่น” นั้นเป็นบทกำหนดหลักเกณฑ์ในการบังคับโทษจำคุกจำเลยว่าให้เริ่มนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาโดยมีข้อยกเว้นในกรณีที่ศาลจะมีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่น ซึ่งการที่ศาลมีคำพิพากษาให้นับโทษจำคุกจำเลยติดต่อกับโทษในคดีอาญาอื่น ย่อมมีความหมายว่าคำพิพากษาได้กล่าวถึงเวลาเริ่มการบังคับโทษจำคุกไว้เป็นอย่างอื่น โดยไม่ให้เริ่มนับแต่วันมีคำพิพากษาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดข้างต้นนั่นเอง ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 891/2550 ของศาลชั้นต้น ที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้มีคำพิพากษาตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2416/2551 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยแม้จะพิพากษาให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแทน ก็ไม่เป็นการต้องห้ามที่ศาลจะกำหนดเวลาเริ่มการบังคับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้เป็นอย่างอื่น ด้วยการให้นับโทษจำคุกจำเลยติดต่อกับโทษในคดีดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่นับโทษจำเลยต่อให้ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้นับโทษจำเลยติดต่อกับโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 891/2550 ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share