คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4231/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อในคดีหลักที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้เด็กชาย ธ. เป็นบุตรของโจทก์กับจำเลยที่ 1 และให้โจทก์มีอำนาจปกครองถึงที่สุดแล้ว ฎีกาของโจทก์ที่ขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาโดยขอให้มีสิทธิติดต่อผู้เยาว์ได้ จึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้เด็กชายธาดา เป็นบุตรของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้โจทก์มีอำนาจปกครองและแก้ไขทะเบียนว่าโจทก์เป็นบิดา จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่า โจทก์มิใช่บิดาของเด็กชายธาดา แต่เด็กชายธาดาเป็นบุตรของจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เด็กชายธาดา ผู้เยาว์ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณา ให้โจทก์ได้พบผู้เยาว์เพื่อแสดงความรักความห่วงใยเช่นที่บิดาจะพึงมีต่อบุตรของตน โดยมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองอนุญาตให้โจทก์ได้พบบุตรผู้เยาว์ตามเงื่อนไขที่ศาลจะเห็นสมควร ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1584/1 บัญญัติให้บิดามารดามีสิทธิที่จะติดต่อกับบุตรของตนได้ตามสมควรแก่พฤติการณ์ไม่ว่าบุคคลใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง โจทก์จึงมีสิทธิติดต่อบุตรได้ตามกฎหมาย หาจำต้องใช้วิธีการเพื่อคุ้มครองชั่วคราว หากจำเลยหรือบุคคลอื่นขัดขวางการติดต่อหรือพบบุตรของโจทก์ ย่อมทำให้โจทก์เกิดสิทธิที่จะดำเนินการต่อไป เมื่อไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่าโจทก์ถูกขัดขวางดังกล่าว จึงให้ยกคำร้อง ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณา โดยโจทก์เดินทางมาพบบุตรผู้เยาว์ยังบ้านพักของบิดามารดาจำเลยที่ 1 ทนายโจทก์แจ้งความประสงค์ของโจทก์ให้บิดามารดาจำเลยที่ 1 ทราบ แต่บุคคลทั้งสองไม่อนุญาตให้โจทก์พบบุตรผู้เยาว์และกลับแสดงอารมณ์โกรธ โจทก์จึงได้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน พฤติการณ์ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะร้องขอให้ศาลกำหนดวิธีการคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาคดี โดยขอให้โจทก์พบบุตรผู้เยาว์ตามวิธีการและเงื่อนไขที่ศาลเห็นสมควร จำเลยทั้งสองยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีไม่อาจมีคำสั่งตามที่โจทก์ขอได้เนื่องจากเป็นสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องว่ากล่าวกันต่อไปเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ให้งดไต่สวน
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง พร้อมยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้แล้วและจำเลยทั้งสองคัดค้านคำร้องนี้ของโจทก์ จึงให้ยกคำร้อง โดยถือว่าเป็นการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 3
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสอง ขอให้พิพากษาว่าเด็กชายธาดา เป็นบุตรของโจทก์กับจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่า เด็กชายธาดามิใช่บุตรของโจทก์ แต่เป็นบุตรของจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า เด็กชายธาดาเป็นบุตรของโจทก์กับจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งกำหนดวิธีการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณา โดยให้โจทก์ได้พบเด็กชายธาดาตามเงื่อนไขที่ศาลจะเห็นสมควร แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกคำร้อง โจทก์ฎีกา คดีมีปัญหาว่า กรณีมีเหตุกำหนดวิธีการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 หรือไม่ เห็นว่า ฎีกาโจทก์เป็นเรื่องเกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณา เมื่อปรากฏว่าในคดีหลักที่โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้เด็กชายธาดาเป็นบุตรของโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว ฎีกาโจทก์จึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share