คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 422/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อผู้เช่าที่ดินมาปลูกสร้างโรงเรือนให้คนอื่นเช่าหมดสิทธิในที่ดินแล้ว เจ้าของที่ดินย่อมฟ้องห้ามผู้เช่าโรงเรือนมิให้เข้าไปครอบครองสิ่งใด ๆ ในที่ดินได้ กรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าผู้เช่าโรงเรือนนั้นเป็นผู้เช่าช่วงที่ดินจากเจ้าของที่จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ

ย่อยาว

คดีนี้ ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านและให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ชั้นบังคับคดีจำเลยแถลงว่าไม่สามารถรื้อเรือนออกไปจากที่ของโจทก์ เพราะบริวารจำเลยไม่ยอมออกไป ศาลหมายนัดบริวารจำเลยมาสอบถามผู้ที่ศาลเรียกมา 10 คนยื่นคำร้องว่าไม่ใช่บริวารจำเลย ผู้ร้องได้เข้าอยู่ในเรือนพิพาทโดยการเช่าจากนางผาดจำเลย ย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ตลอดไป

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษา

ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ผู้ร้องกับพวกเข้ามาอยู่ในที่ดินของโจทก์ได้ก็โดยอาศัยสิทธิของจำเลย เพราะจำเลยเป็นผู้เช่าที่ดินของโจทก์เมื่อศาลได้พิพากษาเป็นยุติแล้วว่า ให้จำเลยรื้อถอนบ้านที่ปลูกในที่ดินของโจทก์ออกไปจากที่ดินของโจทก์ผู้ร้องซึ่งเป็นเพียงผู้เช่าบ้านจากจำเลยจึงไม่เป็นผู้เช่าช่วงที่ดินของโจทก์ ไม่มีทางที่จะอ้างพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ ขึ้นใช้ยันต่อโจทก์ได้ ที่ผู้ร้องกล่าวอ้างในฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนเหตุตามคำร้องของผู้ร้องเสียก่อนว่า ได้เข้ามาอยู่ในที่ดินของโจทก์ในฐานะผู้เช่าช่วงโดยได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะเป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้างกรณีของเรื่องนี้ก็ไม่ทำให้ผู้ร้องมีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินของโจทก์ได้อีกต่อไปในเมื่อจำเลยเองซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินของโจทก์โดยตรงยังไม่มีสิทธิที่จะอยู่ได้ จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะให้ผู้ใดเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ของโจทก์ได้ จึงไม่จำต้องไต่สวนเหตุผลข้อกล่าวอ้าง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share