แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายเมาสุราทำร้ายร่างกายผู้อื่น มีผู้เข้าห้ามและนำผู้เสียหายกลับบ้าน ระหว่างทางผู้เสียหายสะบัดหลุดจะกลับไปที่เกิดเหตุอีก จำเลยซึ่งพิการขาขวาด้วนไม่อยากให้ผู้เสียหายคนชอบพอกันไปมีเรื่องจึงเข้าขัดขวาง ผู้เสียหายไม่พอใจเตะจำเลยล้มลงแขนซ้ายหัก ครั้นจะเตะซ้ำจำเลยใช้มีดปลายแหลมยาว 15 นิ้วครึ่งแทงบริเวณลำตัวผู้เสียหายทะลุเข้าไปในช่องท้องเพียงทีเดียวเพื่อสกัดกั้นมิให้ผู้เสียหายเตะซ้ำ บังเอิญไปถูกที่สำคัญ ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวไม่เกินสมควรแก่เหตุ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80และริบมีดของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 1 ปี ริบมีดของกลาง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง มีดของกลางให้คืนจำเลย โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าวันเกิดเหตุผู้เสียหายเมาสุราแล้วทำร้ายร่างกายผู้อื่นซึ่งร่วมดื่มสุราด้วยกัน มีผู้เข้ามาห้ามและนำผู้เสียหายกลับบ้าน ระหว่างทางผู้เสียหายสะบัดหลุดจะกลับไปที่เกิดเหตุอีก จำเลยซึ่งเป็นคนพิการขาด้วนไปข้างหนึ่งเนื่องในการออกปราบปรามผู้ก่อการร้ายไม่อยากให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นคนรักใคร่ชอบพอกันไปมีเรื่อง จึงได้เข้าขัดขวางไว้ ผู้เสียหายไม่พอใจจึงไปต่อยจำเลย แต่ต่อยไม่ถูกจึงเข้าไปเตะจำเลยล้มลงแขนซ้ายหัก ครั้นจะเตะซ้ำจำเลยใช้มีดสปาต้าปลายแหลมยาว 15 นิ้วครึ่ง แทงบริเวณลำตัวผู้เสียหาย ทะลุเข้าไปในช่องท้องซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่า หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจจะทำให้เสียชีวิตได้ มีปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเป็นคนพิการขาขวาด้วนถูกเตะล้มลงแขนซ้ายหัก การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายไปเพียงครั้งเดียวเพื่อสกัดกั้นมิให้ผู้เสียหายเข้าไปเตะจำเลยซ้ำ บังเอิญไปถูกที่สำคัญ ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวไม่เกินสมควรแก่เหตุ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน