คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4211/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยที่1ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดแรกเป็นต้นมาเกินกว่า2งวดติดต่อกันโจทก์ให้พนักงานเร่งรัดหนี้สินติดตามทวงถามจำเลยที่1ก็นำเงินมาชำระให้โจทก์บางส่วนซึ่งโจทก์ยอมรับไว้และยอมให้จำเลยที่1ครอบครองใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อต่อไปต้องถือว่าโจทก์รับเงินดังกล่าวไว้เป็นค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่1ค้างชำระหลังจากผิดนัดแล้วแสดงว่าโจทก์และจำเลยที่1ยังคงปฏิบัติต่อกันเสมือนหนึ่งว่าสัญญาเช่าซื้อยังใช้บังคับอยู่โดยมิได้ถือกำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเป็นสาระสำคัญต่อไปจะถือว่าจำเลยที่1ผิดสัญญาและสัญญาเช่าซื้อเลิกกันตามที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อมิได้และหากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญาก็ต้องบอกกล่าวให้จำเลยที่1ชำระค่าเช่าซื้อภายในกำหนดเวลาที่เห็นสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา387เสียก่อนเมื่อจำเลยที่1ไม่ชำระจึงบอกเลิกสัญญาได้แต่เมื่อโจทก์ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมาและจำเลยที่1ก็ยินยอมโดยมิได้โต้แย้งถือว่าทั้งสองฝ่ายต่างสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยายนับแต่วันที่โจทก์ยึดรถคืนมาจำเลยที่1ไม่ต้องใช้ค่าเสียหายใดๆแก่โจทก์คงรับผิดเฉพาะค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อจนถึงวันสัญญาเลิกกันเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 314,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ผิดสัญญาเช่าซื้อทางปฏิบัติเกี่ยวกับการชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์กับจำเลยที่ 1ไม่ถือเรื่องกำหนดเวลาในการชำระค่าเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญสัญญาเช่าซื้อจึงยังไม่เลิกกัน โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 32,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาข้อแรกต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยชอบหรือไม่ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์รับเงินจำนวน 88,815 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1นำมาชำระเพื่อบรรเทาความเสียหายที่โจทก์ยังไม่รับรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน มิใช่รับไว้เป็นค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระ ทั้งการที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อมาโดยตลอด ต้องถือว่าจำเลยที่ 1ได้ตกเป็นบุคคลที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 15 วรรคหนึ่ง ก็ระบุไว้ชัดแจ้งว่าถ้าผู้เช่าซื้อตกเป็นบุคคลที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ผู้เช่าซื้อยอมให้บริษัทถือว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงโดยไม่ต้องบอกกล่าวดังนั้นสัญญาเช่าซื้อจึงสิ้นสุดลงนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดแรกเป็นต้นมาเกินกว่า 2 งวดติดต่อกัน โจทก์เพียงแต่ให้นายบรรจง นพเจริญ ผู้รับมอบอำนาจซึ่งเป็นพนักงานเร่งรัดหนี้สินของโจทก์ไปติดตามทวงถามจากจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็นำเงินมาชำระให้โจทก์จำนวน 88,815 บาท โดยโจทก์ยอมรับไว้และยอมให้จำเลยที่ 1 ครอบครองใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อต่อไป จึงต้องถือว่าโจทก์รับเงินจำนวนดังกล่าวไว้เป็นค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1ค้างชำระหลังจากผิดนัดแล้ว พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังคงปฏิบัติต่อกันเสมือนหนึ่งว่าสัญญาเช่าซื้อยังใช้บังคับอยู่ โดยโจทก์และจำเลยที่ 1 มิได้ถือกำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเป็นสาระสำคัญต่อไป ดังนี้เมื่อจำเลยที่ 1มิได้ชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดเวลาในสัญญาจะถือว่าจำเลยที่ 1ผิดนัดผิดสัญญาและสัญญาเช่าซื้อเลิกกันตามที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 15 วรรคสองมิได้ ในกรณีเช่นนี้หากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญา โจทก์ต้องบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อภายในกำหนดเวลาที่เห็นสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 เสียก่อน เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระจึงบอกเลิกสัญญาได้ ซึ่งคดีนี้ไม่ปรากฎว่าหลังจากนั้นโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 1 แต่อย่างไรก็ตามการที่โจทก์ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมา เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2534 เพราะเหตุจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดต่อมา และจำเลยที่ 1 ก็ยินยอมให้ยึดโดยมิได้โต้แย้ง เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย นับแต่วันที่โจทก์ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมา เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ผิดสัญญาก็ไม่ต้องใช้ค่าเสียหายใด ๆ แก่โจทก์ คงรับผิดเฉพาะค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อจนถึงวันสัญญาเลิกกันแก่โจทก์”
พิพากษายืน

Share