คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421-422/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

(1) ในสำนวนแรกที่โจทก์ฟ้องจำเลยว่าผิดสัญญาหมั้นเรียกค่าสินสอดของหมั้นและค่าทดแทนโดยอ้างว่าจำเลยไม่ส่งตัวจำเลยที่ 3 ให้หลับนอนกับโจทก์ และไม่จัดการให้ไปจดทะเบียนสมรส โดยจำเลยที่ 3 ได้หลบหนีไปเสียนั้น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1,2 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 3 มิได้รู้เห็นเป็นใจให้จำเลยที่3 หลบหนีไปตรงข้ามยังได้จัดการส่งตัวจำเลยที่ 3 เข้าห้องเรือนหอร่วมกับโจทก์และเมื่อโจทก์บอกจำเลยที่ 2,3 ให้จัดการเรื่องจดทะเบียนสมรสแล้วจำเลยได้ขอผัดเป็นวันหลังโจทก์ก็ไม่เร่งรัดครั้นแต่งงานได้ 3 วัน เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 3 เดินทางผ่านอำเภอโจทก์ก็ไม่ชวนจำเลยที่ 3 ให้แวะเข้าไปจดทะเบียน ซึ่งเห็นได้ว่าโจทก์ไม่สนใจนำพาต่อการจดทะเบียนเองเช่นนี้โจทก์ยังไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินสอดของหมั้นและค่าทดแทน
(2) ส่วนในสำนวนหลังที่จำเลยกลับฟ้องโจทก์ว่า โจทก์ผิดสัญญาไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรส และเรียกค่าเสียหายนั้น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การที่โจทก์ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 3 นั้นจะปรับเป็นความผิดของโจทก์มิได้เพราะภายหลังพิธีแต่งงานแล้ว จำเลยที่ 3 ได้ร่วมอยู่กินหลับนอนกับโจทก์ได้เพียง 3 วันแล้วก็หลบหนีไป เพราะทนต่อวิธีร่วมประเวณีของโจทก์มิได้ จนเกิดฟ้องร้องกันขึ้นแล้ว จำเลยที่ 3 จึงกลับใจจะขออยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์โดยขอให้ไปจดทะเบียนสมรสแต่โจทก์ไม่ยินยอมเพราะเกรงจำเลยที่ 3 จะทำเช่นเดิมเช่นนี้จะถือว่าโจทก์ผิดสัญญาหมั้นอันจะต้องใช้ค่าเสียหายตามที่จำเลยฟ้องโจทก์และเรียกร้องมานั้นหาได้ไม่

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษามาด้วยกันเรียกนายวินัยว่าโจทก์ เรียกนายทิมกับพวกว่าจำเลย

สำนวนแรก โจทก์ฟ้องจำเลยผิดสัญญาจะสมรส โดยอ้างว่าไม่ส่งตัวจำเลยที่ 3 ให้หลับนอนกับโจทก์ และไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรส ขอให้คืนสินสอดทองหมั้น เงินค่ารับไหว้ กับใช้ค่าทดแทนความเสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

สำนวนหลัง จำเลยทั้ง 3 กลับฟ้องโจทก์ว่าทำทารุณก่อนร่วมประเวณีทุกครั้ง จำเลยที่ 3 ทนความเจ็บปวดไม่ได้จึงแยกจากโจทก์ไปชั่วคราวและทางฝ่ายจำเลยขอให้ไปจดทะเบียนสมรส โจทก์กลับไม่ยอม ทำให้ได้รับความเสียหาย คือ ค่าเลี้ยงอาหารวันแต่งงาน ค่ารับไหว้ ค่าเสียชื่อเสียง และความบริสุทธิ์ของจำเลยที่ 3 ขอให้ชดใช้

โจทก์ให้การปฏิเสธต่อสู้หลายประการ

ศาลแพ่งพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ที่จำเลยว่าโจทก์ร่วมประเวณีด้วยความทารุณและวิตถารเยี่ยงสัตว์ป่า และทำการทารุณเสียก่อนจึงร่วมประเวณีด้วยนั้นไม่เห็นว่าเป็นเรื่องวิตถารหรือการทำทารุณอย่างใด การที่จำเลยที่ 3 ไม่ยอมร่วมประเวณีกับโจทก์อย่างสามีภรรยาหลบหนีไปเสียไม่ส่งข่าวให้ทราบ เป็นการแสดงให้เห็นว่าไม่ประสงค์จะสมรสกับโจทก์ จึงผิดสัญญาหมั้น สัญญาหมั้นระหว่างโจทก์จำเลยจึงระงับไป การที่เสนอขอสมรสใหม่โจทก์ชอบที่จะบอกปัดเสียได้พิพากษาให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าทดแทน คืนเงินของหมั้น ค่าสินสอดให้โจทก์

จำเลยทั้ง 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเบื้องต้นว่าโจทก์ได้ร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 3 หรือไม่ เมื่อวินิจฉัยแล้ว ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าจำเลยที่ 3 ได้เสียกับโจทก์แล้วแล้ววินิจฉัยต่อไปว่าการที่ไม่มีการจดทะเบียนสมรสนั้น จะปรับเป็นความผิดของฝ่ายจำเลยหาได้ไม่ โดยเฉพาะจำเลยที่ 1, 2 ซึ่งเป็นบิดามารดาก็ได้นำตัวจำเลยที่ 3 ส่งให้โจทก์แล้ว มิได้รู้เห็นในการที่จำเลยที่ 3 หลบหนี การจดทะเบียนก็เป็นที่เข้าใจกันว่าจะได้กระทำในภายหลัง การที่จำเลยที่ 3 หลบหนีไปก็เพราะทนการปฏิบัติในการหลับนอนของโจทก์ไม่ได้นั้น จะถือว่าเป็นความผิดของจำเลยที่ 3 ไม่ถนัด เห็นว่าโจทก์จะฟ้องเรียกเงินสินสอดทองหมั้นคืน และเรียกค่าทดแทนใด ๆ จากจำเลยหาได้ไม่ ส่วนคำฟ้องของจำเลยศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่โจทก์ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสนั้น น่าจะเป็นการฟ้องแก้เกี้ยวการที่โจทก์หลับนอนกับจำเลยที่ 3 ด้วยวิธีดังจำเลยที่ 3 ให้การอาจรุนแรงไปบ้างในความรู้สึกของจำเลยที่ 3 แต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นการทารุณวิตถารเยี่ยงสัตว์ป่าอย่างใด การที่จำเลยที่ 3 หลบหนีไม่รู้ไปอยู่แห่งใดทำให้โจทก์เห็นว่าจะอยู่กินต่อไปคงไม่ราบรื่น จึงไม่ยอมจดทะเบียนสมรสด้วย จะเหมาว่าเป็นความผิดของโจทก์หาได้ไม่โจทก์ไม่ควรต้องชำระค่าทดแทนและเห็นว่าหากโจทก์จะต้องชดใช้ค่าทดแทนใด ๆ เงินของหมั้นก็เป็นค่าทดแทนเพียงพอแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439 พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องของโจทก์ และของจำเลยทั้งสองสำนวน

โจทก์และจำเลยทั้ง 3 ฎีกา

ศาลฎีกาได้ตั้งประเด็นข้อแรกเพื่อวินิจฉัยก่อนว่า โจทก์ได้ร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 3 แล้วหรือไม่ แล้ววินิจฉัยมีความสำคัญตอนหนึ่งว่า โดยเหตุผลธรรมดาแล้ว เป็นการผิดวิสัยที่ชายหนุ่มหญิงสาวเช่นโจทก์และจำเลยที่ 3อยู่ด้วยกันตามลำพังสองต่อสองจะไม่ร่วมหลับนอนด้วยกัน จะว่าจำเลยที่ 3ไม่พอใจโจทก์ ไฉนจึงยอมให้ถูกส่งตัวเข้าห้องอยู่ร่วมกับโจทก์ จะบิดพริ้วเสียแต่แรกก็ยังทำได้ จำเลยขอให้โจทก์สาบานต่อหน้าพระแก้วมรกตว่า ไม่เคยร่วมหลับนอนกับจำเลยที่ 3 โจทก์ก็เกี่ยวให้เอาตัวจำเลยที่ 3 ไปสาบานด้วยทั้งที่ยังหาตัวไม่พบ ศาลฎีกาจึงเชื่อว่าโจทก์ได้ร่วมหลับนอนกับจำเลยที่ 3 แล้ว

ข้อที่โจทก์หาว่าจำเลยทั้ง 3 ผิดสัญญา เพราะไม่จัดการให้จำเลยที่ 3 จดทะเบียนสมรสกับโจทก์นั้น เฉพาะตัวจำเลยที่ 1, 2 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 3 ไม่มีพยานหลักฐานแสดงให้เห็นได้เลยว่ามีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจให้จำเลยที่ 3 หลบหนีตรงข้ามยังได้จัดการส่งตัวจำเลยที่ 3 เข้าห้องเรือนหอร่วมกับโจทก์ ตัวโจทก์เองก็เบิกความว่า รุ่งขึ้นจากวันแต่งงาน โจทก์ได้พูดกับจำเลยที่ 2, 3 ขอให้ไปจัดการจดทะเบียนสมรสกันเสียจะได้ไม่ยุ่งยาก จำเลยที่ 2 ว่าเอาไว้วันหลัง โจทก์ก็ไม่เร่งรัดอะไร และเมื่อโจทก์กับจำเลยที่ 3ผ่านอำเภอกระทุ่มแบนในวันที่สามจากแต่งงานกันไปแล้ว โจทก์ก็ไม่ได้ชวนจำเลยที่ 3 แวะเข้าไปจดทะเบียนสมรส เห็นได้ว่าโจทก์ไม่สนใจนำพาต่อการจดทะเบียนสมรส ส่วนการที่จำเลยที่ 3 หนีต่อการปฏิบัติของโจทก์ในเวลาร่วมประเวณีไม่ได้จึงหลบหนีไปเสีย จะปรับเอาเป็นความผิดแก่จำเลยคนใดหาได้ไม่ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินสินสอดของหมั้นและค่าทดแทนใด ๆ จากจำเลย

ส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสามที่หาว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรส และเรียกร้องค่าเสียหายด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการที่โจทก์ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 3 จะปรับเป็นความผิดของโจทก์ยังไม่ได้ เพราะหลังจากพิธีแต่งงานตามประเพณีแล้วจำเลยที่ 3 ได้ร่วมอยู่กินหลับนอนกับโจทก์ได้เพียงสามวันแล้วก็หลบหนีไป เพราะทนต่อการปฏิบัติของโจทก์ในระหว่างร่วมประเวณีไม่ได้จนเกิดฟ้องร้องคดีนี้ขึ้นแล้ว จำเลยที่ 3 จึงกลับใจจะขออยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์ โดยขอให้ไปจดทะเบียนสมรสซึ่งโจทก์ไม่ยินยอมเพราะเกรงว่าจำเลยที่ 3 จะกระทำเช่นเดิม ก็มีเหตุผลฟังได้ ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share