แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำฟ้องของโจทก์สรุปได้ว่า จำเลยทั้งสองซื้อป่านจากโจทก์คิดเป็นเงิน 288,000 บาท แล้วไม่ชำระราคาป่านแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระราคาป่านแก่โจทก์ ส่วนที่โจทก์ บรรยายฟ้องถึงการโอนสิทธิเรียกร้องมาด้วยเป็นเพียงบรรยาย ให้รู้ว่าจำเลยยังไม่ชำระราคาป่านแก่โจทก์เพราะเหตุใด เท่านั้น ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยทั้งสอง ไม่เคยค้ากับโจทก์ จำเลยที่ 1 สั่งซื้อป่านจาก ม.คิดเป็นเงิน 232,000 บาท ประเด็นพิพาทแห่งคดีในส่วนนี้จึงมีว่าจำเลยทั้งสองซื้อป่านตามฟ้องจากโจทก์หรือไม่ ในราคาเท่าใด ซึ่งแม้ในการชี้สองสถานศาลชั้นต้นจะมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ แต่เมื่อเป็นประเด็นพิพาทอันแท้จริงแห่งคดีที่โจทก์กล่าวอ้างและจำเลยให้การปฏิเสธไว้ทั้งคู่ความได้นำพยานหลักฐานมาสืบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวแล้วศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจวินิจฉัยคดีไปตามประเด็นข้อพิพาทที่ถูกต้องได้ และการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระราคาป่านจำนวน 288,000 บาท ให้แก่โจทก์นั้นหาเป็นการวินิจฉัยเกินคำฟ้องและคำขอของโจทก์ไม่ แม้โจทก์จะส่งเอกสารเป็นพยานโดยไม่สืบพยานบุคคลแต่ก็หามีกฎหมายห้ามรับฟังพยานเอกสารเช่นนี้ไม่ กรณีตามฟ้องเป็นเรื่องการซื้อขาย ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 490 บัญญัติว่าถ้าได้กำหนดกันไว้ว่าให้ส่งมอบทรัพย์สินซึ่งซื้อขายนั้นเวลาใด ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเวลาอันเดียวกันนั้นเองเป็นเวลากำหนดใช้ราคา เมื่อโจทก์ส่งมอบป่านให้กรมพลาธิการทหารอากาศตามคำสั่งของจำเลย และกรมพลาธิการทหารอากาศได้ตรวจรับมอบไว้ถูกต้องแล้วเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2529จำเลยจึงชอบที่จะต้องชำระราคาป่านให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ขายในวันดังกล่าวเช่นเดียวกัน เมื่อจำเลยไม่ชำระย่อมได้ชื่อว่าผิดนัดแล้ว โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยชำระราคาป่านได้โดยไม่ต้องทวงถาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยเป็นผู้เคยค้ากับโจทก์ก่อนวันที่ 4 สิงหาคม 2529 จำเลยสั่งซื้อป่าน 8 เกลียว ชนิดเกลียวขวา จำนวน 800 กลุ่ม เป็นเงิน 288,000 บาท จากโจทก์เพื่อขายต่อให้กรมพลาธิการทหารอากาศต่อมาวันที่ 4 และ 5 สิงหาคม2529 จำเลยทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง โดยตกลงที่จะโอนสิทธิเรียกร้องเงินจำนวน 320,000 บาท ที่จำเลยมีต่อกรมพลาธิการทหารอากาศให้แก่โจทก์เป็นผู้รับเงิน ถ้าโจทก์ได้รับเงินมาเกินกว่าหนี้สินหรือความรับผิดที่จำเลยมีต่อโจทก์ โจทก์จะคืนส่วนที่เกินนั้นแก่จำเลย ถ้าโจทก์ได้รับมาต่ำกว่าหนี้สินหรือความรับผิดที่จำเลยมีต่อโจทก์ จำเลยจะต้องชำระส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นแก่โจทก์จนครบถ้วน ถ้าจำเลยไม่ชำระราคาสินค้าทันทีที่โจทก์ส่งมอบหรือโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้จำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์ร้อยละ15 ต่อปี โจทก์ส่งสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อแก่กรมพลาธิการทหารอากาศแล้วเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2529 จำเลยผิดสัญญาไม่ดำเนินเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องให้เรียบร้อย ทำให้โจทก์ไม่สามารถขอรับเงินจากกรมพลาธิการทหารอากาศได้ และจำเลยขอรับเงินทั้งหมดจากกรมพลาธิการทหารอากาศแล้วไม่ชำระราคาสินค้าให้โจทก์จำเลยต้องชำระราคาสินค้า กับดอกเบี้ยตามสัญญานับแต่วันที่5 สิงหาคม 2529 ถึงวันฟ้องอีก 29,470.68 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น317,470.68 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 288,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยค้ากับโจทก์จำเลยที่ 1 สั่งซื้อป่านตามฟ้องจากนายมนตรี เจริญสุขและสั่งซื้อในราคากลุ่มละ 290 บาท เป็นเงิน 232,000 บาทเท่านั้น ต่อมาใกล้กำหนดส่งมอบนายมนตรีจึงอ้างว่าตกลงซื้อขายกันในราคากลุ่มละ 360 บาท เป็นเงิน 288,000 บาท ทำให้การส่งมอบป่านของจำเลยที่ 1 แก่กรมพลาธิการทหารอากาศล่าช้ากว่ากำหนดต่อมาวันที่ 30 กันยายน 2529 ซึ่งเป็นวันที่มีการส่งมอบป่านแก่กรมพลาธิการทหารอากาศ นายมนตรีจึงจัดการให้จำเลยที่ 1โอนสิทธิในการรับเงินจากกรมพลาธิการทหารอากาศให้โจทก์ โดยไม่ฟังข้อโต้แย้งของจำเลยที่ 2 ว่าฝ่าฝืนต่อข้อสัญญาที่จำเลยที่ 1ทำไว้กับกรมพลาธิการทหารอากาศ ผู้ลงลายมือชื่อในเอกสารโอนสิทธิเรียกร้องไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ เอกสารดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองไม่เคยได้รับการทวงถามจากโจทก์และไม่ได้ตกลงจะให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยที่ 2 กระทำการในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 288,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 30กันยายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองข้อแรกว่า ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระราคาป่านจำนวน 288,000 บาท แก่โจทก์นั้นเป็นการวินิจฉัยเกินคำฟ้องและคำขอของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์สรุปได้ว่าจำเลยทั้งสองซื้อป่านจากโจทก์คิดเป็นเงิน 288,000 บาทแล้วไม่ชำระราคาป่านแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระราคาป่านแก่โจทก์ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องถึงการโอนสิทธิเรียกร้องมาด้วย เป็นเพียงบรรยายให้รู้ว่าจำเลยยังไม่ชำระราคาป่านแก่โจทก์เพราะเหตุใดเท่านั้น ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยทั้งสองไม่เคยค้ากับโจทก์ จำเลยที่ 1 สั่งซื้อป่านจากนายมนตรี เจริญสุข คิดเป็นเงิน 232,000 บาท ประเด็นพิพาทแห่งคดีในส่วนนี้จึงมีว่าจำเลยทั้งสองซื้อป่านตามฟ้องจากโจทก์หรือไม่ ในราคาเท่าใด ซึ่งแม้ในการชี้สองสถานศาลชั้นต้นจะมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ แต่เมื่อเป็นประเด็นพิพาทอันแท้จริงแห่งคดีที่โจทก์กล่าวอ้างและจำเลยให้การปฏิเสธไว้ทั้งคู่ความได้นำพยานหลักฐานมาสืบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวแล้วศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจวินิจฉัยคดีไปตามประเด็นข้อพิพาทที่ถูกต้องได้ หาเป็นการวินิจฉัยเกินคำฟ้องและคำขอของโจทก์ไม่
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยทั้งสองซื้อป่านตามฟ้องจากโจทก์และซื้อตามราคาที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะส่งเอกสารเป็นพยานโดยไม่สืบพยานบุคคลดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา แต่ก็หามีกฎหมายห้ามรับฟังพยานเอกสารเช่นนี้ไม่ และตัวจำเลยที่ 2ก็เบิกความเจือสมข้อกล่าวอ้างและพยานเอกสารของโจทก์ว่าโจทก์เป็นตัวแทนผู้จำหน่ายป่านตามฟ้องชนิดที่จำเลยที่ 1 ประมูลขายได้นี้แต่ผู้เดียวในประเทศไทย เมื่อจำเลยที่ 1 ประมูลขายได้จำเลยที่ 2 ก็ติดต่อทาง โทรศัพท์ไปยังบริษัทโจทก์ทันทีและต่อมาได้รับสินค้าป่าน ตามใบส่งสินค้าเอกสารหมาย จ.4 แล้วแต่ตามใบส่งสินค้าเอกสารหมาย จ.4 ปรากฏว่านายมนตรีเป็นพนักงานขายของโจทก์ ทั้งผู้ที่แจ้งแก่จำเลยที่ 2 ว่าจะต้องขายป่านในราคาใหม่ผู้ที่ไปทวงถาม และที่จำเลยที่ 2 เสนอจะออกเช็คลงวันที่ล่างหน้าผ่อนชำระราคาป่านให้ในเวลาต่อมาก็เป็นพนักงานอื่นของโจทก์ ไม่ใช่นายมนตรี ดังนั้น การที่นายมนตรี เป็นผู้รับโทรศัพท์ติดต่อจากจำเลยที่ 2 ในครั้งแรกและนำตัวอย่างป่านไปให้จำเลยที่ 2 ดู จึงเป็นการกระทำในฐานะพนักงานของโจทก์เท่านั้นเมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 สั่งให้นายมนตรีจัดการส่งมอบป่านแก่กรมพลาธิการทหารอากาศโดยมิได้ต่อรองหรือมีข้อแม้ว่าจะต้องคิดราคากลุ่มละ 290 บาท เท่าเดิม ยิ่งกว่านั้นตามใบส่งสินค้าซึ่งจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้รับตามเอกสารหมาย จ.4 ก็ระบุราคาสินค้าไว้ชัดแจ้งว่าเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 288,000 บาทข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองซื้อป่านตามฟ้องจากโจทก์และซื้อตามราคาที่โจทก์ฟ้อง
ปัญหาประการสุดท้ายที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ก่อนฟ้องโจทก์ไม่ได้ทวงถาม โจทก์จะต้องทวงถามก่อนจึงจะฟ้องได้นั้น เห็นว่ากรณีตามฟ้องเป็นเรื่องการซื้อขาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 490 บัญญัติว่าถ้าได้กำหนดกันไว้ว่าให้ส่งมอบทรัพย์สินซึ่งซื้อขายนั้นเวลาใด ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเวลาอันเดียวกันนั้นเองเป็นเวลากำหนดใช้ราคา ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ส่งมอบป่านให้กรมพลาธิการทหารอากาศตามคำสั่งของจำเลยที่ 2กรมพลาธิการทหารอากาศได้ตรวจรับมอบไว้ถูกต้องแล้วเมื่อวันที่30 กันยายน 2529 ตามเอกสารหมาย ล.2 จำเลยทั้งสองจึงชอบที่จะต้องชำระราคาป่านให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ขายในวันที่ 30 กันยายน2529 เช่นเดียวกัน เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ชำระย่อมได้ชื่อว่าผิดนัดแล้ว โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระราคาป่านได้โดยไม่ต้องทวงถาม คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าก่อนฟ้องโจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองโดยชอบแล้วหรือไม่
พิพากษายืน