คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 492/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นระบุไว้ในคำพิพากษาว่าให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20.25 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2542 แต่ดอกเบี้ยต้องไม่เกินประกาศกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น หมายความว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยใหม่ต่ำกว่าอัตราร้อยละ 20.25 ต่อปี โดยประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าว ปรากฏว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมีประกาศ กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลดโดยให้ธนาคารพาณิชย์ออกประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บแต่ละประเภทของตนเองได้ซึ่งในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2542 ธนาคารโจทก์ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยกรณีผิดนัดลงเหลือเพียงอัตราร้อยละ 14.50ต่อปี ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำแถลงของจำเลยที่ 1ที่ขอทราบจำนวนหนี้ตามคำพิพากษา เพื่อจะได้ชำระหนี้ให้ถูกต้องเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 ว่าให้คิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20.25 ต่อปี ไปก่อน จนกว่าคำพิพากษาจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขนั้น จึงเป็นคำสั่งที่มิได้คำนึงถึงข้อความในคำพิพากษาที่ให้คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินประกาศกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย อันเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบเพราะขัดแย้งกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเอง ดังนั้น นับแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2542 โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพียงอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี จนถึงวันชำระเงินตามคำพิพากษาครบถ้วนแต่หากในช่วงเวลาดังกล่าวโจทก์มีการประกาศอัตราดอกเบี้ยใหม่โจทก์ก็ต้องคิดดอกเบี้ยตามอัตราใหม่นั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 20.25 ต่อปี

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 827,085.02 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 20.25ต่อปี ของเงินต้นจำนวนดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จหากไม่ชำระให้ยึดที่ดินอันเป็นทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้โจทก์จนกว่าจะครบ

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้ผิดสัญญาและโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราผิดนัด

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาต่อมาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 827,085.02 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 20.25ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าว นับแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2542 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องลดวงเงินจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ แต่ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยต้องไม่เกินประกาศกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย ถ้าไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2306ตำบลบ้านนา อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก ของจำเลยที่ 1พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้โจทก์จนกว่าจะครบ

ต่อมาวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 จำเลยที่ 1 ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2544 จำเลยที่ 1 นำเงินจำนวน1,030,000 บาทมาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว แต่เจ้าพนักงานศาลแจ้งว่าไม่อาจคำนวณหนี้ตามคำพิพากษาได้ถูกต้อง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยไม่แน่นอน จำเลยที่ 1 จึงไปขอประกาศของโจทก์ที่คิดดอกเบี้ยจากลูกค้าในช่วงเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำนวน 3 ฉบับจากโจทก์ สาขาบ้านนา เพื่อประกอบการคิดดอกเบี้ย ปรากฏว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยจากลูกค้าที่ผิดนัดในอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี จำเลยที่ 1 ขอทราบจำนวนหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อจะได้ชำระส่วนที่ขาดให้ครบถ้วน

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลอ่านคำพิพากษาวันที่ 28ธันวาคม 2543 ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยตามคำพิพากษาคืออัตราร้อยละ20.25 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ หากจำเลยที่ 1 เห็นว่าไม่ถูกต้องชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาต่อไป ในชั้นนี้ชอบที่จะคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20.25 ต่อปี ไปก่อน จนกว่าคำพิพากษาจะมีการเปลี่ยนแปลง

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้สั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 1 อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาแต่การที่โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่คัดค้านและศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปศาลฎีกา พออนุโลมได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 1อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่งแล้ว

พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นกล่าวในคำพิพากษาว่า “แต่ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยต้องไม่เกินประกาศกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย…” เมื่อโจทก์มีประกาศเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมและส่วนลด ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2542 วันที่ 12กรกฎาคม 2543 และวันที่ 18 กันยายน 2543 กำหนดให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี จำเลยที่ 1 ย่อมต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี ไม่ใช่อัตราร้อยละ 20.25 ต่อปีนั้น เห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นระบุไว้ในคำพิพากษาว่าให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20.25 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2542 แต่ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยต้องไม่เกินประกาศกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ย่อมมีความหมายว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยใหม่ต่ำกว่าอัตราร้อยละ 20.25 ต่อปีโดยประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าว เมื่อปรากฏว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมีประกาศ เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2536 เอกสารหมายจ.28 ให้ธนาคารพาณิชย์ออกประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บแต่ละประเภทของตนเองได้ และจำเลยที่ 1มีประกาศของโจทก์ฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2542 วันที่ 12กรกฎาคม 2543 และวันที่ 18 กันยายน 2543 มาแนบท้ายคำแถลงฉบับลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 มีข้อความว่า โจทก์ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยกรณีผิดนัดลงเหลือเพียงอัตราร้อยละ14.50 ต่อปี เพื่อให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งให้ชัดเจนว่าให้คิดดอกเบี้ยในอัตราเท่าไร จำเลยที่ 1 จะได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ถูกต้อง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อัตราดอกเบี้ยตามคำพิพากษาคืออัตราร้อยละ 20.25 ต่อปีตามคำขอของโจทก์ถ้าจำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้องชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาต่อไปในชั้นนี้ชอบที่จะคิดดอกเบี้ยในอัตรา 20.25 ต่อปีไปก่อนจนกว่าคำพิพากษาจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ได้คำนึงถึงข้อความในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ว่า “แต่ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยต้องไม่เกินประกาศกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย…” จึงเป็นคำสั่งที่ขัดแย้งกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเอง ได้ความจากนายประสานทรัพย์ มีศรี พนักงานโจทก์สาขาบ้านนา ตำแหน่งหัวหน้างานสินเชื่อเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้าน เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2543 ว่า หลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้แล้วได้คิดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดเป็นครั้งสุดท้ายคือร้อยละ 20.25 ต่อปี แต่ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยผิดนัดของโจทก์เท่ากับอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี สอดคล้องกับที่ปรากฏในเอกสารแนบท้ายคำแถลง และเมื่อจำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น โจทก์ได้รับสำเนาอุทธรณ์แล้ว ไม่ได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านเรื่องอัตราดอกเบี้ย จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้มีประกาศฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2542 วันที่ 12 กรกฎาคม2543 และวันที่ 18 กันยายน 2543 ลดดอกเบี้ยลงเหลือเพียงอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปีจริง ดังนั้น นับตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน2542 โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพียงอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปีจนถึงวันชำระเงินตามคำพิพากษาครบถ้วน แต่ถ้าในช่วงเวลาดังกล่าวโจทก์มีการประกาศอัตราดอกเบี้ยใหม่ โจทก์ต้องคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ประกาศใหม่ ทั้งนี้ ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 20.25 ต่อปี ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20.25 ต่อปีไปก่อน จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น”

พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2542 ในอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี จนถึงวันชำระเงินตามคำพิพากษาครบถ้วนแต่ถ้าในช่วงเวลาดังกล่าวโจทก์ประกาศอัตราดอกเบี้ยใหม่ โจทก์ต้องคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ประกาศใหม่ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 20.25 ต่อปี

Share