แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองซื้อป่านจากโจทก์คิดเป็นเงิน 288,000 บาท แล้วไม่ชำระราคาป่านแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระราคาป่านแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยค้ากับโจทก์ จำเลยที่ 1 สั่งซื้อป่านจาก ม.คิดเป็นเงิน 232,000 บาท ประเด็นพิพาทแห่งคดีจึงมีว่าจำเลยทั้งสองซื้อป่านตามฟ้องจากโจทก์หรือไม่ ในราคาเท่าใดซึ่งแม้ในการชี้สองสถานศาลชั้นต้นจะมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ แต่เมื่อประเด็นพิพาทอันแท้จริงแห่งคดีที่โจทก์กล่าวอ้างและจำเลยให้การปฏิเสธไว้ทั้งคู่ความได้นำพยานหลักฐานมาสืบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวแล้ว ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจวินิจฉัยคดีไปตามประเด็นข้อพิพาทที่ถูกต้องได้หาเป็นการวินิจฉัยเกินคำฟ้องและคำขอของโจทก์ไม่ โจทก์ส่งมอบป่านให้กรมพลาธิ การทหารอากาศตามคำสั่งของ จำเลยที่ 2 กรมพลาธิ การทหารอากาศได้ตรวจรับมอบไว้ถูกต้อง แล้วเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2529 จำเลยทั้งสองจึงชอบที่จะต้องชำระราคาป่านให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ขายในวันที่ 30 กันยายน2529 เช่นเดียวกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 490เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ชำระย่อมได้ชื่อว่าผิดนัดแล้ว โจทก์จึงฟองให้จำเลยทั้งสองชำระราคาป่านได้โดยไม่ต้องทวงถาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยสั่งซื้อป่าน8 เกลียว ชนิดเกลียวขวา จำนวน 800 กลุ่ม เป็นเงิน 288,000 บาทจากโจทก์เพื่อขายต่อให้กรมพลาธิการทหารอากาศ ต่อมาวันที่4 และ 5 สิงหาคม 2529 จำเลยทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง โดยตกลงที่จะโอนสิทธิเรียกร้องเงินจำนวน 320,000 บาท ที่จำเลยมีต่อกรมพลาธิการทหารอากาศให้แก่โจทก์เป็นผู้รับเงิน ถ้าโจทก์ได้รับเงินมาเกินกว่าหนี้สินหรือความรับผิดที่จำเลยมีต่อโจทก์โจทก์จะคืนส่วนที่เกินนั้นแก่จำเลย ถ้าโจทก์ได้รับมาต่ำกว่าหนี้สินหรือความรับผิดที่จำเลยมีต่อโจทก์ จำเลยจะต้องชำระส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นแก่โจทก์จนครบถ้วน ถ้าจำเลยไม่ชำระราคาสินค้าทันทีที่โจทก์ส่งมอบหรือโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้จำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์ร้อยละ 15 ต่อปี โจทก์ส่งสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อแก่กรมพลาธิการทหารอากาศแล้วเมื่อวันที่5 สิงหาคม 2529 จำเลยผิดสัญญาไม่ดำเนินเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องให้เรียบร้อย ทำให้โจทก์ไม่สามารถขอรับเงินจากกรมพลาธิการทหารอากาศได้และจำเลยขอรับเงินทั้งหมดจากกรมพลาธิการทหารอากาศแล้วไม่ชำระราคาสินค้าให้โจทก์จำเลยต้องชำระราคาสินค้ากับดอกเบี้ยตามสัญญานับแต่วันที่5 สิงหาคม 2529 ถึงวันฟ้องอีก 29,470.68 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 317,470.68 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 288,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 สั่งซื้อป่านตามฟ้องจาก นายมนตรี เจริญสุขและสั่งซื้อในราคากลุ่มละ 290 บาท เป็นเงิน 232,000 บาท เท่านั้น ต่อมาใกล้กำหนดส่งมอบนายมนตรีจึงอ้างว่าตกลงซื้อขายกันในราคากลุ่มละ 360 บาท เป็นเงิน 288,000 บาท ทำให้การส่งมอบป่านของจำเลยที่ 1 แก่กรมพลาธิการทหารอากาศล่าช้า กว่ากำหนด ต่อมาวันที่ 30 กันยายน 2529 ซึ่งเป็นวันที่มีการ ส่งมอบป่านแก่กรมพลาธิการทหารอากาศ นายมนตรีจึงจัดการให้จำเลยที่ 1 โอนสิทธิในการรับเงินจากกรมพลาธิการทหารอากาศให้โจทก์โดยไม่ฟังข้อโต้แย้งของจำเลยที่ 2 ว่าฝ่าฝืนต่อข้อสัญญาที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับกรมพลาธิการทหารอากาศ จำเลยทั้งสองไม่เคยได้รับการทวงถามจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองข้อแรกว่า ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระราคาป่านจำนวน 288,000 บาท แก่โจทก์นั้นเป็นการวินิจฉัยเกินคำฟ้องและคำขอของ โจทก์หรือไม่ เห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์สรุปได้ว่า จำเลยทั้งสอง ซื้อป่านจากโจทก์คิดเป็นเงิน 288,000 บาท แล้วไม่ชำระราคาป่าน แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระราคาป่านแก่โจทก์ ส่วนที่ โจทก์บรรยายฟ้องถึงการโอนสิทธิเรียกร้องมาด้วย เป็นเพียงบรรยาย ให้รู้ว่าจำเลยยังไม่ชำระราคาป่านแก่โจทก์ เพราะเหตุใดเท่านั้น ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยทั้งสองไม่เคยค้ากับ โจทก์ จำเลยที่ 1 สั่งซื้อป่านจากนายมนตรี เจริญสุข คิดเป็นเงิน232,000 บาท ประเด็นพิพาทแห่งคดีในส่วนนี้จึงมีว่าจำเลยทั้งสอง ซื้อป่านตามฟ้องจากโจทก์หรือไม่ในราคาเท่าใด ซึ่งแม้ในการ ชี้สองสถานศาลชั้นต้นจะมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ แต่เมื่อ ประเด็นพิพาทอันแท้จริงแห่งคดีที่โจทก์กล่าวอ้างและจำเลยให้ การปฏิเสธไว้ทั้งคู่ความด้นำพยานหลักฐานมาสืบเกี่ยวกับประเด็น ดังกล่าวแล้ว ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจวินิจฉัยคดีไปตามประเด็น ข้อพิพาทที่ถูกต้องได้ หาเป็นการวินิจฉัยเกินคำฟ้องและคำขอ ของโจทก์ไม่
ปัญหาประการสุดท้ายที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ก่อนฟ้องโจทก์ไม่ได้ทวงถาม โจทก์จะต้องทวงถามก่อนจึงจะฟ้องได้นั้น เห็นว่ากรณีตามฟ้องเป็นเรื่องการซื้อขาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 490 บัญญัติว่า ถ้าได้กำหนดกันไว้ว่าให้ส่งมอบทรัพย์สินซึ่งซื้อขายนั้นเวลาใด ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเวลาอันเดียวกัน นั้นเองเป็นเวลากำหนดใช้ราคา ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ส่งมอบ ป่านให้กรมพลาธิ การทหารอากาศตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 กรมพลาธิ การทหารอากาศได้ตรวจรับมอบไว้ถูกต้องแล้วเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2529 ตามเอกสารหมาย ล.2 จำเลยทั้งสองจึงชอบที่จะ ต้องชำระราคาป่านให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ขายในวันที่ 30 กันยายน 2529 เช่นเดียวกัน เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ชำระย่อมได้ชื่อว่า ผิดนัดแล้ว โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระราคาป่านได้ โดยไม่ต้องทวงถาม คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าก่อนฟ้องโจทก์ทวงถาม จำเลยทั้งสองโดยชอบแล้วหรือไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน