แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้ร่วมกับ พ. ลักเหรียญกษาปณ์จากตู้โทรศัพท์สาธารณะโดย พ.ให้จำเลยเข้าไปในตู้โทรศัพท์สาธารณะทำทีเป็นโทรศัพท์และ พ.เข้ามาในตู้โทรศัพท์ด้วย พ.ให้จำเลยช่วยเปิดง้างแผ่นเหล็กของช่องคืนเหรียญของตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อให้ พ.ใช้ลวดที่ดัดแปลงมาเขี่ยให้เหรียญกษาปณ์ในตู้โทรศัพท์สาธารณะไหลลงมา การที่จำเลยร่วมมือกับ พ.เข้าไปนำเหรียญกษาปณ์ที่ติดค้างอยู่ โดยจำเลยทำทีเป็นผู้ใช้โทรศัพท์พูดจาเพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้ผู้อื่นสงสัย ระหว่างนั้นให้ พ.เขี่ยกระดาษที่อุดไว้จนเหรียญกษาปณ์ตกลงไปสู่มือของจำเลยและ พ.ที่รอรับอยู่ เป็นการร่วมมือกันเอาทรัพย์ไปจากความครอบครองของเจ้าของทรัพย์ที่ยังมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นอยู่ จำเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปตาม ป.อ.มาตรา 335(7) ประกอบด้วยมาตรา 83 โจทก์มิได้นำสืบว่าจำเลยร่วมเอากระดาษไปอุดช่องคืนเหรียญโทรศัพท์กับ พ.และมิได้นำตัวพลเมืองดีผู้แจ้งเหตุ รวมทั้งผู้เสียหายและเจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมคนอื่น ๆ มาเบิกความนั้น เห็นว่า
เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 335(7) ประกอบด้วย มาตรา 83 ได้แล้ว ก็ไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องนำสืบไปจนถึงกับว่า มีการร่วมมือกันมาตั้งแต่แรกหรือนำสืบพยานบุคคลอื่น ๆ ให้ฟุ่มเฟือยเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น
เหรียญกษาปณ์ที่ตกลงไปในช่องคืนเหรียญเนื่องจากไม่สามารถโทรศัพท์ติดต่อไปยังสายปลายทางได้นั้นยังเป็นของผู้ใช้โทรศัพท์สาธารณะอยู่ โดยปกติแล้วจะต้องตกลงไปถึงช่องคืนเหรียญที่อยู่ต่ำลงไปข้างล่างให้ผู้ใช้โทรศัพท์สาธารณะแง้มเหล็กฝาปิดช่องดังกล่าวล้วงเอาเหรียญกษาปณ์กลับคืนไป การที่ พ.นำก้อนกระดาษไปอุดไว้ในช่องคืนเหรียญในตำแหน่งที่อยู่เหนือฝาปิดขึ้นไป เป็นเพียงการขัดขวางไม่ให้เหรียญกษาปณ์ตกกลับลงไปถึงมือผู้ใช้โทรศัพท์สาธารณะที่รออยู่ โดยเหรียญกษาปณ์ดังกล่าวยังคงติดค้างอยู่ในเครื่องโทรศัพท์สาธารณะในลักษณะที่ง่ายแก่การมาล้วงเอาไปในภายหลัง ความครอบครองยังอยู่กับเจ้าของเหรียญกษาปณ์ที่รอรับเหรียญกษาปณ์นั้นอยู่และการที่เจ้าของเหรียญกษาปณ์ออกจากตู้โทรศัพท์สาธารณะไปไม่ได้หมายความว่ามีเจตนาสละทิ้งเหรียญกษาปณ์ที่ติดค้าง เพราะการสละกรรมสิทธิ์จะต้องกระทำด้วยความสมัครใจมิใช่อยู่ในลักษณะที่ถูกขัดขวางการได้ทรัพย์กลับคืน ฉะนั้น ขณะที่เหรียญกษาปณ์ตกลงไปค้างอยู่บนก้อนกระดาษในช่องคืนเหรียญ ความผิดฐานลักทรัพย์ยังไม่สำเร็จเพราะ พ.ยังไม่ได้เอาเหรียญกษาปณ์นั้นไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๔๑ เวลาประมาณ๑๘.๓๐ นาฬิกา จำเลยกับนายพิเชษฐ์ ช่วยชูใจ จำเลยที่ ๑ ในคดีหมายเลขแดงที่๖๔๗๙/๒๕๔๑ ของศาลชั้นต้น ร่วมกันใช้กระดาษม้วนเป็นก้อนอุดช่องคืนเหรียญที่เครื่องโทรศัพท์ของบริษัทเทเลคอมเอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อไม่ให้เหรียญกษาปณ์ที่ผู้มาใช้เครื่องโทรศัพท์ดังกล่าวหยอดลงไปในเครื่องโทรศัพท์แล้วไม่สามารถใช้เครื่องโทรศัพท์ดังกล่าวติดต่อสื่อสารได้ตกลงมาในช่องคืนเหรียญ แล้วจำเลยกับพวกร่วมกันใช้ลวดของไม้แขวนเสื้อเป็นเครื่องมือดัดแหย่เข้าไปในช่องคืนเหรียญของเครื่องโทรศัพท์ดังกล่าวเขี่ยลักเอาเงินประเภทเหรียญกษาปณ์ จำนวน ๒๖๙.๕๐ บาทของผู้มีชื่อ (ผู้เสียหาย) ที่มาใช้เครื่องโทรศัพท์ดังกล่าว แต่ไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้ไปโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๗), ๘๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕ (๗) วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา ๘๓ จำคุก ๒ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก ๑ ปี ๔ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยและนายพิเชษฐ์ ช่วยชูใจ บริเวณตู้โทรศัพท์สาธารณะริมถนนรามคำแหงใกล้ปากซอยรามคำแหง ๔๓/๑ ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์เหรียญกษาปณ์ที่อยู่ในโทรศัพท์สาธารณะ นายพิเชษฐ์รับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ คดีถึงที่สุดแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาพอฟังลงโทษจำเลยหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีประจักษ์พยานคือสิบตำรวจโทเกรียงศักดิ์ที่พบเห็นการกระทำความผิดของจำเลยมาเบิกความยืนยันต่อศาล สิบตำรวจโทเกรียงศักดิ์เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการไปตามอำนาจหน้าที่และไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน อันจะเป็นเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย ซึ่งจำเลยก็ให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและสอบสวนว่าวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยได้ร่วมกับนายพิเชษฐ์ลักเหรียญกษาปณ์จากตู้โทรศัพท์สาธารณะ โดยนายพิเชษฐ์ให้จำเลยเข้าไปในตู้โทรศัพท์สาธารณะทำทีเป็นโทรศัพท์และนายพิเชษฐ์เข้ามาในตู้โทรศัพท์ด้วย นายพิเชษฐ์ให้จำเลยช่วยเปิดง้างแผ่นเหล็กของช่องคืนเหรียญของตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อให้นายพิเชษฐ์ใช้ลวดที่ดัดแปลงมาเขี่ยให้เหรียญกษาปณ์ในตู้โทรศัพท์สาธารณะไหลลงมาสอดคล้องกับที่สิบตำรวจโทเกรียงศักดิ์เบิกความต่อศาล และจำเลยนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพให้เจ้าพนักงานตำรวจถ่ายรูปไว้ ทั้งขณะนำชี้ที่เกิดเหตุเป็นเวลากลางวันมีผู้คนพลุกพล่านตามภาพถ่าย หากจำเลยมิได้กระทำความผิดจริงก็น่าจะโต้แย้งหรือขัดขืนมิให้เจ้าพนักงานตำรวจถ่ายรูปที่แสดงถึงพฤติการณ์การร่วมกันกระทำความผิด ซึ่งพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมายังไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ให้เป็นอย่างอื่นได้ ดังนี้ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงให้ฟังได้ว่า จำเลยร่วมมือกับนายพิเชษฐ์เข้าไปนำเหรียญกษาปณ์ที่ติดค้างอยู่ โดยจำเลยทำทีเป็นผู้ใช้โทรศัพท์พูดจาเพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้ผู้อื่นสงสัย ระหว่างนั้นให้นายพิเชษฐ์เขี่ยกระดาษที่อุดไว้จนเหรียญกษาปณ์ตกลงไปสู่มือของจำเลยและนายพิเชษฐ์ที่รอรับอยู่ เห็นได้ว่าเป็นการร่วมมือกันเอาทรัพย์ไปจากความครอบครองของเจ้าของทรัพย์ที่ยังมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นอยู่ จำเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้แล้ว ไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องนำสืบไปจนถึงกับว่า มีการร่วมมือกันมาตั้งแต่แรก หรือนำสืบพยานบุคคลอื่น ๆ ตามที่จำเลยกล่าวอ้างมาในฎีกาให้ฟุ่มเฟือยเห็นอยู่ว่าเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อที่สองว่า ความผิดฐานลักทรัพย์ในคดีนี้สำเร็จและขาดตอนไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อมีผู้มาใช้โทรศัพท์สาธารณะแล้วไม่สามารถติดต่อสื่อสารทำให้เหรียญกษาปณ์ตกลงไปในช่องคืนเหรียญและค้างอยู่บนก้อนกระดาษที่นายพิเชษฐ์นำไปอุดไว้ จำเลยเข้าช่วยเหลือนายพิเชษฐ์ ง้างเหล็กเปิดช่องคืนเหรียญให้นายพิเชษฐ์ใช้ลวดเขี่ยเอาเหรียญกษาปณ์เหล่านั้นไป หลังจากความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จขาดตอนแล้ว จึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์อีกนั้น เห็นว่าเหรียญกษาปณ์ที่ตกลงไปในช่องคืนเหรียญเนื่องจากไม่สามารถโทรศัพท์ติดต่อไปยังสายปลายทางได้นั้นยังเป็นของผู้ใช้โทรศัพท์สาธารณะอยู่ โดยปกติแล้วจะต้องตกลงไปถึงช่องคืนเหรียญที่อยู่ต่ำลงไปข้างล่าง ให้ผู้ใช้โทรศัพท์สาธารณะแง้มเหล็กฝาปิดช่องดังกล่าวล้วงเอาเหรียญกษาปณ์กลับคืนไป การที่นายพิเชษฐ์นำก้อนกระดาษไปอุดไว้ในช่องคืนเหรียญในตำแหน่งที่อยู่เหนือฝาปิดขึ้นไป เป็นเพียงการขัดขวางไม่ให้เหรียญกษาปณ์ตกกลับลงไปถึงมือผู้ใช้โทรศัพท์สาธารณะที่รออยู่ โดยเหรียญกษาปณ์ดังกล่าวยังคงติดค้างอยู่ในเครื่องโทรศัพท์สาธารณะในลักษณะที่ง่ายแก่การมาล้วงเอาไปในภายหลัง ฉะนั้น ขณะที่เหรียญกษาปณ์ตกลงไปค้างอยู่บนก้อนกระดาษในช่องคืนเหรียญ ความผิดฐานลักทรัพย์ยังไม่สำเร็จเพราะนายพิเชษฐ์ยังไม่ได้เอาเหรียญกษาปณ์นั้นไป ความครอบครองยังอยู่กับเจ้าของเหรียญกษาปณ์ที่รอรับเหรียญกษาปณ์นั้นอยู่ และการที่เจ้าของเหรียญกษาปณ์ออกจากตู้โทรศัพท์สาธารณะไปไม่ได้ หมายความว่า มีเจตนาสละทิ้งเหรียญกษาปณ์ที่ติดค้าง เพราะการสละกรรมสิทธิ์จะต้องกระทำด้วยความสมัครใจมิใช่อยู่ในลักษณะที่ถูกขัดขวางการได้ทรัพย์กลับคืน
พิพากษายืน.