คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4202/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้บรรยายฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่1 เมษายน 2527 ถึง 7 สิงหาคม 2528 จำเลยเป็นผู้จัดการร้านสหกรณ์โจทก์ มีหน้าที่ควบคุมรับผิดชอบดูแลและจัดการทรัพย์สินของโจทก์ และภายในระยะเวลาดังกล่าวสินค้าและเงินสดได้ขาดหายไปจากบัญชีของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยจะต้องรับผิดชอบชดใช้ราคาสินค้าและเงินสดที่หายไปแก่โจทก์ ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ได้แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสองแล้ว ส่วนรายละเอียดว่าสินค้าและเงินสดที่ขาดบัญชีไปมีอะไรบ้าง อย่างไหน จำนวนและราคาเท่าไร ตั้งแต่เมื่อใด และอยู่ในความครอบครองของผู้ใด เป็นเรื่องที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ จำเลยทำให้เงินสดและสินค้าขาดหายไปจากบัญชีโจทก์แม้จำเลยเป็นเพียงผู้จัดการชั่วคราวของโจทก์ แต่จำเลยได้รับประโยชน์ตอบแทนโดยการรับเงินเดือนเป็นรายเดือนจากโจทก์จำเลยจึงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในกิจการของโจทก์ตามข้อบังคับ การที่โจทก์ไม่ได้ทำสัญญาจ้างจำเลยเป็นผู้จัดการและไม่มีผู้ค้ำประกันการเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการของจำเลย หาทำให้จำเลยพ้นความรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์ได้มอบอำนาจให้นายวิชัย แจ่มจำรัส ประธานกรรมการเป็นผู้ฟ้องคดีนี้ ตามหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้อง คณะกรรมการโจทก์ได้แต่งตั้งให้จำเลยเป็นผู้จัดการโจทก์ ระหว่างที่จำเลยทำหน้าที่ผู้จัดการ จำเลยได้ทำให้สินค้าและเงินสดขาดบัญชีไป เมื่อมีการสอบสวนขึ้น จำเลยยอมรับผิดนำเงินมาชำระหนี้ค่าสินค้าขาดบัญชีและชำระเงินที่ขาดบัญชี จำเลยคงค้างชำระค่าสินค้าขาดบัญชีจำนวน 82,819.64 บาท ค้างหนี้เงินสดจำนวน 178,243.96 บาทโจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยผัดผ่อนเรื่อยมา ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 261,063.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า คณะกรรมการโจทก์มีการแต่งตั้งโดยมิชอบกรรมการมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามข้อบังคับของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม กล่าวคือ ไม่บรรยายฟ้องให้แจ้งชัดว่า สินค้าใดขาดบัญชีไป อยู่ในความครอบครองของผู้ใดจำนวนเท่าใด ตั้งแต่เมื่อใด และเงินสดได้มาอย่างไร จำนวนเท่าใดขาดไปจำนวนเท่าใด จำนวนเงินตามฟ้องมีการชดใช้ให้แก่โจทก์หมดสิ้นแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 261,063.60 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาเป็นประเด็นแรกว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะนายวิชัย แจ่มจำรัส ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีได้รับมอบอำนาจโดยบุคคลผู้ไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ การมอบอำนาจจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่าโจทก์มีนายวิชัย แจ่มจำรัส ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเบิกความยืนยันว่า ขณะฟ้องคดีพยานดำรงตำแหน่งประธานกรรมการโจทก์ถูกต้องตามข้อบังคับของโจทก์ คณะกรรมการดำเนินการของโจทก์มีมติมอบอำนาจให้พยานเป็นผู้ฟ้องคดีแทนโจทก์ปรากฏตามหนังสือมอบอำนาจ และโจทก์มีนางบริสุทธิ์ เปรมประพันธ์ตำแหน่งสหกรณ์อำเภอเมืองสระบุรีประจำสำนักงานสหกรณ์การเกษตรอำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ผู้มีหน้าที่ดูแลส่งเสริมและตรวจสอบสหกรณ์ต่าง ๆ ภายในเขตอำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรีรวมทั้งสหกรณ์โจทก์ด้วยเบิกความสนับสนุนว่า คณะกรรมการโจทก์มีอำนาจมอบอำนาจให้นายวิชัยฟ้องคดีแทนโจทก์ได้ ข้อนำสืบของโจทก์จึงมีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารที่สืบพิสูจน์ถึงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการโจทก์และข้อเท็จจริงไม่ปรากฏตามที่จำเลยต่อสู้ว่า คณะกรรมการโจทก์ผู้มอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจได้รับการแต่งตั้งโดยมิชอบหรือมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนแต่อย่างใดข้อต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นเพียงการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย ปราศจากน้ำหนักแห่งการรับฟัง ศาลฎีกาเห็นว่า นายวิชัยผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีโดยคณะกรรมการโจทก์โดยชอบโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาในประเด็นต่อมาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องแสดงรายละเอียดว่า สินค้าและเงินสดที่ขาดบัญชีไปมีอะไรบ้างอย่างไหน จำนวนและราคาเท่าไร ตั้งแต่เมื่อใดและอยู่ในความครอบครองของผู้ใดอันเป็นสาระสำคัญที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีนั้น เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่าเมื่อระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2527 ถึงวันที่ 7 สิงหาคม 2528จำเลยเป็นผู้จัดการร้านสหกรณ์โจทก์ มีหน้าที่ควบคุมรับผิดชอบดูแลและจัดการทรัพย์สินของโจทก์ และภายในระยะเวลาดังกล่าวสินค้าและเงินสดได้ขาดหายไปจากบัญชีของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยจะต้องรับผิดชอบชดใช้ราคาสินค้าและเงินสดที่หายไปแก่โจทก์ เห็นได้ว่าฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสินค้าที่หายว่ามีอะไรบ้างอย่างไหนมีราคาเท่าไร รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับเงินสดว่ามีเงินสดประเภทไหนหายไปจากบัญชีจำนวนเท่าไร กับสินค้าและเงินสดแต่ละประเภทหายไปตั้งแต่วันเวลาไหน ขณะอยู่ในความครอบครองของใครเป็นเรื่องรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ทั้งข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่า จำเลยสามารถต่อสู้คดีได้ตามประเด็นที่โจทก์ฟ้องทุกประเด็น ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ หาได้เคลือบคลุมดังที่จำเลยต่อสู้ไม่ ฎีกาของจำเลยในประเด็นนี้ก็ฟังไม่ขึ้น
ส่วนประเด็นสุดท้ายที่จำเลยฎีกาว่า เงินและสินค้าที่ขาดหายบัญชีไปมีจำนวนเท่าไร อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยหรือไม่และมีการชดใช้คืนแก่โจทก์แล้วหรือไม่นั้น ในระหว่างที่จำเลยรับผิดชอบอยู่ถึงขนาดนางวงษาได้ทำสัญญารับสภาพหนี้แทนจำเลยให้ไว้แก่โจทก์ โดยพยานหลักฐานดังกล่าวศาลฎีกาจึงเชื่อว่า ในช่วงเวลาที่จำเลยรับผิดชอบเป็นผู้จัดการโจทก์ จำเลยทำให้เงินสดและสินค้าขาดหายไปจากบัญชีของโจทก์หลังจากจำเลยได้ชำระคืนบางส่วนแล้วจำนวน 178,243.96 บาท และ 82,819.64 บาทตามลำดับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 261,063.60 บาท และเงินจำนวนดังกล่าวจำเลยยังไม่ได้ชำระแก่โจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้คืนแก่โจทก์ตามฟ้อง แม้จำเลยเป็นเพียงผู้จัดการชั่วคราวของโจทก์แต่จำเลยก็ได้ประโยชน์ตอบแทนโดยการรับเงินเดือนเป็นรายเดือนจากโจทก์เดือนละ 3,700 บาท จำเลยจึงต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบในกิจการของโจทก์ตามข้อบังคับทุกประการ การที่โจทก์ไม่ได้ทำสัญญาจ้างจำเลยเป็นผู้จัดการและไม่มีผู้ค้ำประกันการเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการของจำเลย หาได้ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ตามที่จำเลยกล่าวในฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 261,063.60 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน

Share