คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4201/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นสั่งรับฟ้องของโจทก์ โดยที่โจทก์ยังมิได้เสีย ค่าขึ้นศาลในเวลาที่ยื่นคำฟ้องเป็นการขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรคแรกและตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้น ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนกระทั่งสั่งจำหน่ายคดี เพราะถือว่า โจทก์ทิ้งฟ้อง จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบและไม่มีผลผูกพัน คู่ความ โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งจำหน่ายคดี หาใช่ อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ จึงไม่จำต้องเสียค่าขึ้นศาล ในชั้นอุทธรณ์ตามทุนทรัพย์ที่ฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้ค่าสินค้าประเภทที่นอนต่อโจทก์ แล้วจำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้โจทก์ 9 ฉบับ รวมเงินทั้งสิ้น194,155 บาท เป็นเช็คของธนาคารทหารไทย จำกัด สาขาชุมพรโจทก์จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ครั้นเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเช็คทั้ง 9 ฉบับ ไปเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงินปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 205,076 บาท พร้อมดอกเบี้ย
วันที่ 14 เมษายน 2531 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาลแพ่งภายในกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 10 รับคำฟ้อง หมายส่งสำเนาให้จำเลย ถ้าส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน15 วัน นับแต่วันว่าส่งไม่ได้ หากไม่แถลงถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องครั้นวันที่ 19 พฤษภาคม 2531 นายรังสรรค์ ปัทมวิภาตผู้รับมอบอำนาจโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขออนุญาตขยายเวลาการวางเงินค่าธรรมเนียม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์มิได้นำส่งหมายให้จำเลยภายในกำหนดถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องไม่มีเหตุที่จะขอขยายระยะเวลาอีกให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องและคำฟ้องลงวันที่28 มีนาคม 2531 ต่อศาลแพ่งในวันที่ 28 มีนาคม 2531 โดยให้เหตุผลในคำร้องว่า ไปยื่นต่อศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดชุมพร) ไม่ทันและคดีจะขาดอายุความ ศาลแพ่งสั่งในคำร้องในวันเดียวกันว่า “ส่งศาลจังหวัดชุมพรพิจารณา โดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด” ศาลชั้นต้นสั่งในคำฟ้องของโจทก์เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2531 ว่า “โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งภายในกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 10 รับคำฟ้อง หมายส่งสำเนาให้จำเลย ถ้าส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน15 วัน นับแต่วันรู้ว่าส่งไม่ได้ หากไม่แถลงถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง”โดยที่โจทก์ยังมิได้เสียค่าขึ้นศาลเลย ซึ่งเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคแรกที่บัญญัติว่า “ในคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์นั้น อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องหรือราคาทรัพย์สินที่พิพาท” ในตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งระบุว่า ค่าขึ้นศาลเสียในเวลาที่ยื่นคำฟ้อง และตามมาตรา 18 วรรคสอง ให้อำนาจศาลถ้าศาลเห็นว่าคำคู่ความที่ยื่นต่อศาลนั้นยังมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยถูกต้องครบถ้วน ศาลจะมีคำสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรก็ได้ ถ้าคู่ความมิได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลก็ให้ศาลมีคำสั่งไม่รับคำคู่ความนั้น ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องของโจทก์และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนกระทั่งสั่งจำหน่ายคดี ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง โดยที่โจทก์ยังมิได้ชำระค่าธรรมเนียมศาล จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบและไม่มีผลผูกพันคู่ความ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า อุทธรณ์ของโจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาเพียง 200 บาทเป็นการไม่ชอบเพราะเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามตาราง 1(1) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีตามมาตรา 174 มิใช่สั่งตามมาตรา 18โจทก์จึงควรเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามทุนทรัพย์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งจำหน่ายคดี หาใช่อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ จึงไม่จำต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ตามทุนทรัพย์ที่ฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share