คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 420/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินทั้ง 11 แปลง ของโจทก์ให้แก่วัด ถือเป็นการขายตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/1 (4) ที่ได้กระทำภายในห้าปีนับแต่วันที่โจทก์ได้มา แต่ผู้ที่โจทก์โอนที่ดินให้มีฐานะเป็นวัดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และเป็นการโอนให้โดยไม่มีค่าตอบแทน ทั้งที่ดินดังกล่าวติดต่อเป็นผืนเดียวกันและอยู่ติดกับที่ดินที่ตั้งวัดใช้ในการจัดกิจกรรมของวัดและเป็นลานกีฬาของชุมชน แสดงให้เห็นถึงเจตนาของโจทก์ที่ต้องการบริจาคที่ดินเพื่อเป็นการกุศลจึงไม่ใช่การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลมีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินแผ่นดิน ภาษีอากร การรัษฎากร และอื่น ๆ จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในสังกัดจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2536 โจทก์จดทะเบียนให้ที่ดิน 11 แปลง ตามโฉนดเลขที่ 5078 ถึง 5080, 5997 ถึง 6002, 18519 และ 24580 แก่วัดใหม่กระทุ่มล้ม ซึ่งเป็นวัดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 โดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทนเพื่ออุทิศให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ ต่อมาประมาณเดือนมีนาคม 2546 จำเลยที่ 2 แจ้งให้โจทก์ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะเบี้ยปรับเงินเพิ่ม และรายได้ส่วนท้องถิ่นรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 624,360 บาท วันที่ 14 พฤษภาคม 2546 โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะพร้อมคำร้องของดเบี้ยปรับ คงเหลือเงินภาษีที่ต้องชำระ 312,180 บาท ซึ่งโจทก์ได้ผ่อนชำระภาษีเรื่อยมาครั้งละ 1,000 บาท รวม 7 ครั้ง เป็นเงิน 7,000 บาท และในวันที่ 1 มิถุนายน 2547 โจทก์ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ เงินเพิ่มและรายได้ส่วนท้องถิ่นอีก 305,180 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 312,180 บาท เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2547 โจทก์เห็นว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีดังกล่าวจึงได้ยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร แต่จำเลยที่ 2 มีหนังสือแจ้งไม่คืนเงินภาษีอากรให้โจทก์ การที่โจทก์จดทะเบียนให้ที่ดิน 11 แปลง แก่วัดใหม่กระทุ่มล้มนั้นแม้จะถือเป็นการขายตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/1 (4) ที่ได้กระทำภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น แต่เมื่อโจทก์โอนที่ดินดังกล่าวให้โดยเสน่หาและไม่มีค่าตอบแทน จึงมิใช่กรณีที่เป็นทางค้าหรือหากำไร จำเลยทั้งสองจึงมีหน้าที่ต้องคืนเงินภาษีอากรจำนวน 312,180 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2547 ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 23,413.50 บาท รวมกับเงินต้นเป็นเงิน 335,593.50 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินจำนวน 335,593.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 312,180 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งให้การว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 11 แปลง ตามฟ้องในปี 2533 และ 2534 หลังจากนั้นวันที่ 21 ธันวาคม 2536 โจทก์ได้ให้ที่ดินทั้ง 11 แปลง ดังกล่าวแก่วัดใหม่กระทุ่มล้ม ซึ่งเป็นวัดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ใช่ส่วนราชการ โดยกรมการศาสนาเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ จึงเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้กระทำภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นอันเข้าลักษณะเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร ตามมาตรา 3 (6) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากร จำเลยทั้งสองไม่ต้องคืนเงินภาษีอากรดังกล่าวให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 312,180 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2547 จนกว่าอธิบดีกรมสรรพากรจะมีหนังสือแจ้งคำสั่งคืนเงินค่าภาษีอากรแก่โจทก์แต่ไม่เกินจำนวนค่าภาษีที่ได้รับคืน กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า เมื่อปี 2533 และ 2534 โจทก์ซื้อที่ดิน 11 แปลง ตามโฉนดเลขที่ 5078 ถึง 5080, 5997 ถึง 6002, 18519 และ 24580 แขวงลำต้อยติ่ง เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ต่อมาวันที่ 21 ธันวาคม 2536 โจทก์จดทะเบียนยกที่ดินทั้ง 11 แปลง ดังกล่าวให้แก่วัดใหม่กระทุ่มล้ม แขวงลำต้อยติ่ง เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นวัดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 โดยเสน่หาและไม่มีค่าตอบแทน โดยกรมการศาสนาเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์และโจทก์ชำระภาษีเงินได้แล้ว หลังจากนั้นวันที่ 17 เมษายน 2546 โจทก์ได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 2 ว่ากรณีให้ที่ดินทั้ง 11 แปลง แก่วัดใหม่กระทุ่มล้มนั้นโจทก์ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 141,900 บาท เบี้ยปรับ 283,800 บาท เงินเพิ่ม 141,900 บาท และรายได้ส่วนท้องถิ่น 56,760 บาท รวมเป็นเงิน 624,360 บาท ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2546 โจทก์จึงยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะพร้อมคำร้องของดเบี้ยปรับและผ่อนชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ เงินเพิ่มและรายได้ส่วนท้องถิ่นเรื่อยมาจนครบ 312,180 บาท ต่อมาวันที่ 28 กรกฎาคม 2547 โจทก์ยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร 312,180 บาท แต่จำเลยที่ 2 มีหนังสือแจ้งไม่คืนเงินภาษีอากรดังกล่าวแก่โจทก์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองว่า การที่โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินทั้ง 11 แปลง ของโจทก์ตามฟ้องให้แก่วัดใหม่กระทุ่มล้มโดยเสน่หาและไม่มีค่าตอบแทนถือเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรอันอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือไม่และจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันคืนเงินภาษีและดอกเบี้ยแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า มาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากร มิได้บัญญัติไว้แจ้งชัดว่าการขายอสังหาริมทรัพย์กรณีใดเป็นการขายที่เข้าลักษณะเป็นทางค้าหรือหากำไรอันต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่ได้บัญญัติให้การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งได้มีพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ให้ถือว่าการขายอสังหาริมทรัพย์ลักษณะใดบ้างที่ถือเป็นการขายที่เป็นทางค้าหรือหากำไร ตามที่มาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ให้อำนาจไว้ โดยขณะที่โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินทั้ง 11 แปลง ของโจทก์ให้แก่วัดใหม่กระทุ่มล้ม พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นบัญญัติไว้ในมาตรา 3 ว่าให้การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรตามมาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากร มีดังต่อไปนี้ (1) … (6) การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เข้าลักษณะตาม (1) (2) (3) (4) หรือ (5) ที่ได้กระทำภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น มิใช่ว่าจะเป็นทางค้าหรือหากำไรเสมอไป หากแต่เป็นข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาเป็นรายกรณี คดีนี้แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การที่โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินทั้ง 11 แปลง ของโจทก์ตามฟ้องให้แก่วัดใหม่กระทุ่มล้มถือเป็นการขายตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/1 (4) ที่ได้กระทำภายในห้าปีนับแต่วันที่โจทก์ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นก็ตาม แต่เมื่อเป็นที่เห็นได้โดยประจักษ์ชัดเจนว่าผู้ที่โจทก์โอนที่ดินทั้ง 11 แปลง ให้นั้นมีฐานะเป็นวัดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และเป็นการโอนให้โดยไม่มีค่าตอบแทนแต่อย่างใด ทั้งปรากฏตามที่โจทก์นำสืบว่าที่ดินดังกล่าวติดต่อเป็นผืนเดียวกันและอยู่ติดกับที่ดินที่ตั้งวัดใหม่กระทุ่มล้ม ปัจจุบันใช้ในการจัดกิจกรรมของวัดและเป็นลานกีฬาของชุมชน อันแสดงให้เห็นถึงเจตนาของโจทก์ที่ต้องการบริจาคที่ดินทั้ง 11 แปลง เพื่อเป็นการกุศลให้ใช้เป็นสถานที่ทางศาสนาและสาธารณประโยชน์โดยไม่มีวัตถุประสงค์ในทางการค้าหรือหากำไรเกี่ยวข้องอย่างแท้จริง การโอนที่ดินดังกล่าวจึงไม่ใช้การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร โจทก์จึงไม่จำต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันคืนเงินภาษีและดอกเบี้ยแก่โจทก์ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share