คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 420/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นบริษัทจำกัด ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน เอกสารที่กฎหมายต้องการคือสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน ซึ่งโจทก์ได้แนบสำเนาดังกล่าวมาพร้อมกับฟ้องแล้ว ส่วนปัญหาว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้ ล.เป็นตัวแทนลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์ เป็นรายละเอียดซึ่งโจทก์มีสิทธินำสืบในชั้นพิจารณาได้ เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าได้มอบอำนาจให้ ล. เป็นผู้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์ แม้โจทก์จะมิได้แนบสำเนาหนังสือมอบอำนาจมาพร้อมกับฟ้อง ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อทำหนังสือมอบอำนาจให้ ล.ลงนามในสัญญาเซ่าซื้อแทนโจทก์ สัญญาเช่าซื้อก็ระบุว่าโจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ 1 ล.ย่อมมีอำนาจลงชื่อเป็นผู้ให้เช่าซื้อและประทับตราของโจทก์กระทำการแทนโจทก์ได้แม้ในสัญญาเช่าซื้อจะไม่ได้ระบุว่า ล.กระทำการแทนโจทก์ โจทก์ก็นำสืบถึงความข้อนี้ได้เพราะเป็นการสำสืบถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวการกับตัวแทนว่าความจริงเป็นอย่างไร ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัด มอบอำนาจให้นายลักษณ์ลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์ จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาแก่โจทก์พร้อมทั้งค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจนำสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องมาฟ้องบังคับจำเลย เพราะสัญญาดังกล่าวลงนามโดยนายลักษณ์ แต่ไม่มีข้อความระบุว่านายลักษณ์เป็นผู้ทำการแทนโจทก์ จึงมีผลเท่ากับโจทก์มิได้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นโมฆะโจทก์ไม่มีสำเนาหนังสือมอบอำนาจให้นายลักษณ์เป็นตัวแทนมากับคำฟ้อง จำเลยไม่เข้าใจสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ ทำให้หลงต่อสู้คดี ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคารถแก่โจทก์พร้อมค่าเสียหาย
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้แนบสำเนาหนังสือมอบอำนาจให้นายลักษณ์เป็นตัวแทนลงนามในสัญญาเช่าซื้อมากับฟ้อง ทำให้จำเลยไม่เข้าใจว่าโจทก์ได้มอบอำนาจเป็นหนังสือหรือไม่เมื่อใด และมีสาระสำคัญอย่างไร ทำให้จำเลยหลงต่อสู้และเสียเปรียบในเชิงคดีนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสอง ให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน เอกสารที่กฎหมายต้องการก็คือสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันซึ่งโจทก์ได้แนบสำเนาสัญญาดังกล่าวมาพร้อมกับฟ้องแล้ว ส่วนปัญหาว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายลักษณ์เป็นตัวแทนโจทก์หรือไม่ เป็นรายละเอียดซึ่งโจทก์มีสิทธินำสืบได้ในชั้นพิจารณา โจทก์จึงไม่ต้องแนบสำเนาหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวมาพร้อมกับฟ้อง เพียงแต่โจทก์บรรยายในฟ้องว่าได้มอบอำนาจให้นายลักษณ์เป็นผู้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์ ก็เป็นการเพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว คำฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะกรรมการบริษัทโจทก์ไม่ได้ลงชื่อเป็นคู่สัญญาฝ่ายผู้ให้เช่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นโมฆะพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้นายลักษณ์จะมิได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ แต่ได้ความว่าก่อนทำสัญญาฉบับพิพาท โจทก์ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายลักษณ์ลงนามในสัญญาเช่าซื้อทรัพย์สินของโจทก์ได้ นายลักษณ์จึงมีอำนาจลงนามเป็นคู่สัญญาฝ่ายผู้ให้เช่าซื้อแทนโจทก์ ตามสัญญาเช่าซื้อมีข้อความว่าโจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ ๑ การที่นายลักษณ์ลงนามเป็นเจ้าของและผู้ให้เช่าซื้อและประทับตราของโจทก์ แสดงให้เห็นว่านายลักษณ์ไม่ได้ทำในนามของตนเองและแม้ในสัญญาจะไม่ระบุว่าทำแทนโจทก์ โจทก์ก็นำสืบถึงความข้อนี้ได้ เป็นการนำสืบถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวการกับตัวแทนเพื่ออธิบายความจริงว่าเป็นมาอย่างไรเท่านั้น หาใช่เป็นการนำสืบเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ ไม่ สัญญาเช่าซื้อจึงไม่เป็นโมฆะโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้
พิพากษายืน.

Share