คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อกรณีมีเหตุสุดวิสัยและฉุกเฉินจำเลยไม่อาจจะไปยื่นคำให้การต่อศาลที่รับประทับฟ้องไว้ทันตามกำหนดและจำเลยได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่เพื่อขออนุญาตขยายกำหนดเวลายื่นคำให้การ ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่นั้นมีอำนาจที่จะสั่งอนุญาตให้ขยายกำหนดเวลายื่นคำให้การได้
โจทก์ฟ้องอ้างการครอบครองจำเลยให้การว่า โจทก์อาศัยแต่ไม่แจ้งชัดว่าอาศัยผู้ใด ประเด็นคงมีว่าโจทก์อาศัยหรือไม่นั้นจำเลยมีหน้าที่สืบก่อนคำให้การจำเลยจึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยโจทก์ซื้อมาจากผู้มีชื่อและได้ครอบครองโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมา 38 ปีแล้ว

จำเลยต่อสู้ว่า บุพพการีของจำเลยให้โจทก์อาศัย จะมาเถียงการครอบครองไม่ได้

ศาลชั้นต้นไม่เชื่อว่าโจทก์ได้ซื้อมา โจทก์เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัย พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายข้อแรกที่โจทก์คัดค้านว่าศาลแพ่งไม่มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ยืดเวลายื่นคำให้การแล้วเห็นว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพฯมีรถไฟไปยังจังหวัดนครศรีธรรมราชอาทิตย์ละ 3 ครั้ง กินเวลาเดินทาง 2 วันจึงถึง จำเลยจำเป็นต้องหาหลักฐานการครอบครองซึ่งได้เป็นมาหลายชั่วคน จำเลยเพิ่งได้รับมรดกในชั้นหลัง สุดวิสัยที่จะยื่นคำให้การได้ภายในกำหนดและเป็นกรณีฉุกเฉินศาลแพ่งมีอำนาจสั่งได้ ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชก็เห็นพ้องด้วยแล้ว เห็นว่าศาลล่างใช้ดุลยพินิจมาชอบแล้ว ส่วนข้อที่ว่าจำเลยให้การเคลือบคลุมไม่แจ้งชัดว่าโจทก์อาศัยผู้ใดนั้น เห็นว่าประเด็นมีว่าโจทก์อยู่ในที่พิพาทโดยทางอาศัยหรือไม่เท่านั้น ส่วนที่ว่าผู้ใดเป็นผู้ให้อาศัยจำเลยมีหน้าที่สืบก่อน จึงไม่เป็นการเคลือบคลุม ปัญหาข้อเท็จจริงเรื่องการครอบครองศาลฎีกาคงฟังว่าโจทก์อาศัย จึงพิพากษายืน

Share