คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4199/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จะได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์แล้วก็ตามก็ไม่ตัดสิทธิบุคคลภายนอกที่จะพิสูจน์ว่าตนมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์โดยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทดังนั้นผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296จัตวา(3)จึงหาได้จำกัดเฉพาะแต่ผู้ทรงสิทธิพิเศษเหนือทรัพย์เช่นผู้ทรงสิทธิเก็บกินสิทธิอาศัยสิทธิเหนือพื้นดินเท่านั้นไม่ผู้ร้องทั้งสองซึ่งอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทและไม่ใช่บริวารของจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิความเป็นเจ้าของได้เพราะถ้าไม่ให้สิทธิแก่ผู้ร้องทั้งสองในการที่จะยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษดังกล่าวต่อศาลโดยให้ไปว่ากล่าวเอาแก่โจทก์เป็นคดีหนึ่งต่างหากแล้วผู้ร้องทั้งสองก็อาจถูกจับกุมและกักขังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296จัตวา(2)

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้เดิมศาลชั้นต้นรวมพิจารณากับคดีอีกสำนวนหนึ่งซึ่งถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยเรียกผู้ร้องสำนวนดังกล่าวว่าผู้ร้องที่ 1 และเรียกร้องในสำนวนนี้ว่าผู้ร้องที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ
คดีสืบเนื่องจากศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่280 ไร่ เป็นของโจทก์ ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาททั้งหมด ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ปิดประกาศขับไล่ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทของโจทก์ตามหมายบังคับคดีของศาล
ผู้ร้องทั้งสามต่างยื่นคำร้องขอแสดงอำนาจพิเศษในทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศกำหนดให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของจำเลยยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาล ไม่ใช่ที่ดินของโจทก์หรือจำเลย แต่เป็นที่ดินของผู้ร้องแต่ละรายซึ่งได้ครอบครองทำประโยชน์มาโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่ที่ตำบลท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช มิใช่อยู่ที่ตำบลปากพูน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชจังหวัดนครศรีธรรมราช แต่อย่างใด และผู้ร้องแต่ละรายต่างมิได้เป็นบริวารของจำเลยขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งว่าผู้ร้องแต่ละรายมิใช่บริวารของจำเลยและเป็นผู้มีอำนาจพิเศษที่จะอยู่ในที่ดินพิพาทได้
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลเกินกำหนดแปดวัน นับแต่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296จัตวา (3) ทั้งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองแล้วว่าที่ดินพิพาทซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลปากพูนอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นของโจทก์ ให้จำเลยบริวารรื้อถอน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทผู้ร้องทั้งสองไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท และไม่เคยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทำแผนที่พิพาทและไปเดินเผชิญสืบที่ดินพิพาทแล้วเห็นว่าคดีวินิจฉัยได้แล้วมีคำสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า มิใช่บริวารของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา ซึ่งมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดเพียงว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ แต่ผู้ร้องกลับกล่าวอ้างว่ามีสิทธิครอบครองเหนือที่พิพาทเพราะที่พิพาทเป็นของผู้ร้อง เป็นการโต้แย้งกรรมสิทธิ์จึงเป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะต้องไปว่ากล่าวเอากับโจทก์ต่างหากจากคดีนี้ จึงให้ยกคำร้อง
ผู้ร้อง ทั้ง สาม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ร้อง ที่ 2 และ ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องที่ 2 และที่ 3 ว่า คำร้องของผู้ร้องทั้งสองที่อ้างว่าไม่ได้เป็นบริวารของจำเลย โดยที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องทั้งสองครอบครองเป็นของผู้ร้องทั้งสอง เป็นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษที่ยื่นต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296จัตวา (3) หรือไม่ ผู้ร้องที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่า การที่ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลว่า ผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ก็เพื่อแสดงว่าผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นบริวารของจำเลย จึงเป็นการแสดงอำนาจพิเศษชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป มิฉะนั้นแล้วผู้ร้องทั้งสองจะต้องเสียหายโดยต้องออกไปเสียจากที่ดินพิพาท พิเคราะห์แล้วประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา296 จัตวา บัญญัติว่า ถ้าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแจ้งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารยังไม่ออกไปตามคำบังคับของศาล ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปฎิบัติต่อไปนี้
(1) รายงานต่อศาลเพื่อมีคำสั่งจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารดังกล่าวนั้น และศาลมีอำนาจสั่งจับกุมและกักขังได้ทันทีในกรณีนี้ ให้นำมาตรา 300 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
(2) เมื่อศาลมีคำสั่งให้จับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารตาม (1) แล้ว หรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารหลบหนี ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามมาตรา296 ตรี โดยอนุโลม
(3) ปิดประกาศกำหนดเวลาให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลาแปดวันนับแต่วันปิดประกาศ ถ้าไม่ยื่นภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษา
เห็นว่า แม้จะได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์แล้วก็ตาม ก็ไม่ตัดสิทธิบุคคลภายนอกที่จะพิสูจน์ว่าตนมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์โดยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ดังนั้น ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา ซึ่งมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา(3) จึงหาได้จำกัดเฉพาะแต่ผู้ทรงสิทธิพิเศษเหนือทรัพย์ เช่นผู้ทรงสิทธิเก็บกิน สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยเท่านั้นไม่ ผู้ร้องทั้งสองซึ่งอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทและไม่ใช่บริวารของจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิความเป็นเจ้าของได้ เพราะถ้าไม่ให้สิทธิแก่ผู้ร้องทั้งสองในการที่จะยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษดังกล่าวต่อศาล โดยให้ไปว่ากล่าวเอาแก่โจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหากแล้ว ผู้ร้องทั้งสองก็อาจถูกจับและกักขังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา (2)ศาลชั้นต้นชอบที่จะต้องไต่สวนว่าผู้ร้องทั้งสองเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ แล้วจึงมีคำสั่งตามรูปคดี ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง โดยที่ยังไม่ได้ไต่สวนให้สิ้นกระแสความ และศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนมานั้น เป็นการที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฎิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาจึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นไต่ส่วนคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับผู้ร้องที่ 2 และที่ 3ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องที่ 2 และที่ 3 แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาพิพากษาภาค 3

Share