คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4199/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทราบนัดชี้สองสถานแล้ว แต่ไม่มาศาลตามนัด ศาลได้ชี้สองสถานไปโดยกำหนดให้จำเลยมีภาระการพิสูจน์และนำสืบพยานก่อน และนัดสืบพยานจำเลยพร้อมกับนัดฟังคำพิพากษา เช่นนี้ต้องถือว่าจำเลยทราบวันนัดทั้งสองแล้วโดยศาลไม่ต้องแจ้งนัดแก่จำเลยอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่ เมื่อจำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ถือได้ว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา
ในวันนัดสืบพยานจำเลย หากทนายจำเลยติดว่าความในคดีที่ศาลอื่น จำเลยชอบที่จะแจ้งเหตุขัดข้องหรือยื่นคำขอเลื่อนคดีเสียในวันนัดหรือก่อนวันนัด แต่ก็หาได้กระทำไม่ จึงถือว่าจำเลยจงใจขาดนัดพิจารณา ทั้งการที่ไม่ทราบว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 วรรคสอง มีการแก้ไขใหม่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จำเลยจะใช้เป็นเหตุเพื่อให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๔๖๕ ตำบลทับยาว อำเภอแสนแสบ (เจียระดับ) จังหวัดมีนบุรี คืนแก่โจทก์ทั้งสอง และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ ๒ ตกลงขายที่พิพาทแก่จำเลย จึงได้มอบโฉนดที่ดินพิพาทให้จำเลยยึดถือไว้เป็นหลักประกันว่าจะไม่ขายผู้อื่น โจทก์ทั้งสองยังเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทอยู่โจทก์ไม่เสียหาย และที่ดินมีราคาสูงขึ้น โจทก์จึงใช้สิทธิฟ้องโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยขาดนัดพิจารณาและไม่มีพยานมาสืบพิพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๔๖๕ ตำบลทับยาว อำเภอแสนแสบ (เจียระดับ) จังหวัดมีนบุรี คืนแก่โจทก์ทั้งสอง คำขอื่นให้ยก
ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่าไม่จงใจขาดนัด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องแล้วอ่านคำพิพากษาไปในวันเดียวกัน
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องดังกล่าวของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยขาดนัดพิจารณาและขอพิจารณาคดีใหม่ได้หรือไม่
พิเคราะห์แล้ว จำเลยยื่นคำให้การวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๒๗ ศาลชั้นต้นสั่งนัดชี้สองสถานในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ จำเลยทราบนัดแล้ว เมื่อถึงกำหนดวันชี้สองสถานดังกล่าว ทนายโจทก์ที่ ๒ มอบฉันทะให้นายขจรศักดิ์ โพธิพันธ์ มาศาลแทน ส่วนโจทก์ที่ ๑ และจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล ศาลชั้นต้นชี้สองสถานโดยกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยมีสิทธิที่จะยึดโฉนดตามฟ้องของโจทก์ไว้หรือไม่ ซึ่งภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลย นัดสืบพยานจำเลยวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๒๗ เวลา ๑๓.๓๐ นาฬิกา และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๗ เวลา ๑๓.๓๐ นาฬิกา ปรากฏรายละเอียดตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๓ วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ( ฉบับที่ ๑๐ ) พ.ศ. ๒๕๒๗ มาตรา ๘ และใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๒๗ ได้บัญญัติไว้ว่าให้คู่ความมาศาลในวันชี้สองสถานถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่มาศาลให้ถือว่าได้ทราบกระบวนพิจารณาของศาลในวันนั้นแล้วเมื่อศาลได้กำหนดวัดนัดสืบพยานจำเลยและวัดนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ศาลทำการชี้สองสถานดังกล่าวข้างต้น แม้จำเลยจะไม่ได้มาศาล ก็ต้องถือว่าจำเลยได้ทราบวันนัดทั้งสองแล้วโดยศาลชั้นต้นไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทราบอีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๓ วรรคสอง ฉะนั้น เมื่อถึงกำหนดวันนัดสืบพยานจำเลยวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๒๗ เวลา ๑๓.๓๐ นาฬิกา จำเลยจึงต้องมาศาลตามนัด แต่จำเลยไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชั้นต้นถือว่า จำเลยไม่มีพยานมาสืบประการหนึ่งและจำเลยขาดนัดพิจารณาอีกประการหนึ่ง ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๒๗ ปัญหาว่า จำเลยขาดนัดพิจารณาหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกำหมายวิธิพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๗ วรรคสอง ความว่า “ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาศาลในวันสืบพยาน และมิได้ร้องจขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลเสียก่อนลงมือสืบพยานให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นขาดนัดพิจารณา”
และมาตรา ๒๐๒ บัญญัติว่า “ถ้าได้ส่งหมายกำหนดวันนัดสืบพยานให้จำเลยทราบโดยชอบแล้ว จำเลยขาดนัดพิจารณา ให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา แล้วให้พิจารณาและชี้ขาดคดีนั้นไปฝ่ายเดียว ฯ” เมื่อบทบัญญัติ มาตรา ๑๘๓ วรรคสองให้ถือว่าจำเลยทราบวันนัดสืบพยานจำเลยแล้วและจำเลยไม่มาศาลในวันนัดดังกล่าวโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบ จึงต้องถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาเหมือนกัน
ปัญหาว่า จำเลยร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้หรือไม่ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๒๗ ทนายจำเลยยื่นคำร้องอ้างเหตุ ๒ ประการ กล่าวคือทนายจำเลยติดว่าความอยู่ที่ศาลอาญา ในคดีหมายเลขดำที่ ๒๓๙๕๓/๒๕๒๗ ระหว่างนายเจริญ จิรารยะพงศ์ โจทก์ นายประสิทธิ์ สิทธิ์วัฒนชัย จำเลยประการหนึ่ง กับทนายจำเลยอ้างว่า ทนายจำเลยยังไม่ทราบว่าได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ( ฉบับที่ ๑๐ ) พ.ศ. ๒๕๒๗ ใช้บังคับอีกประการหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยอ้างเหตุว่าทนายจำเลยติดว่าความอยู่ที่ศาลอาญานั้น หากเป็นความจริงทนายจำเลยย่อมจะทราบวันนัดดังกล่าวล่วงหน้าแล้ว จึงชอบที่จะต้องมาแจ้งเหตุขัดข้องหรือยื่นคำขอเลื่อนคดีในวันสืบพยานหรือก่อนวันนั้น แต่จำเลยก็หาได้ยื่นคำขอดังกล่าวไม่ กรณีของจำเลยจึงเป็นการขาดนัดพิจารณาโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควรที่จะให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๕ ส่วนกรณีที่จำเลยอ้างว่าไม่ทราบว่ากฎหมายใหม่ใช้บังคับแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ( ฉบับที่ ๑๐ ) พ.ศ. ๒๕๒๗ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๒๗ โดยมีมาตรา ๒ บัญญัติว่า “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้น” ซึ่งหมายความว่าพระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๒๗ และเป็นการใช้บังคับแก่ประชาชนทั่วประเทศ ทนายจำเลยจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตามที่จำเลยต้องการไม่ได้ ไม่มีเหตุผลที่จะรับฟัง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share