แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยใช้กำลังประทุษร้ายฉุดผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารแล้วจำเลยได้กระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายในขณะเดียวกัน ทั้งนี้ก็โดยมีเจตนาอันแท้จริงเพียงอย่างเดียวคือจะกระทำอนาจารผู้เสียหายการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทคือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278,284 ต้องลงโทษตามมาตรา 284 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดแม้โจทก์จะแยกบรรยายการกระทำความผิดดังกล่าวของจำเลยมาในฟ้องเป็นข้อก.และข้อ ค. เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันและจำเลยให้การรับสารภาพศาลจะลงโทษจำเลยหลายกรรมเป็นกระทงความผิดไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรมต่างกัน คือ (ก) ได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่เข็ญและใช้กำลังประทุษร้ายฉุดพานางสาวละมัยผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่อาจขัดขืนได้(ข) ได้ใช้อาวุธปืนขู่เข็ยและใช้กำลังประทุษร้ายฉุดพรากนางสาวละมัยผู้เยาว์ไปเสียจากบิดาผู้ปกครอง เพื่อการอนาจาร (ค) ได้ใช้อาวุธปืนขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย และกระทำอนาจารผู้เสียหายโดยผู้เสียหายอยู่ในถาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และเป็นการกระทำต่อหน้าธารกำนัล ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 281, 284, 318, 91
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 284, 318 แต่ความผิดตามมาตรา 278 กับมาตรา 284 เป็นกรรมเดียวกันผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 284 ซึ่งเป็นบทหนักและมาตรา 318
โจทก์อุทธรณ์ว่าความผิดตามมาตรา 278 กับมาตรา 284 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยใช้กำลังประทุษร้ายฉุดผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารแล้วจำเลยได้กระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายในขณะเดียวกัน ทั้งนี้ก็โดยมีเจตนาอันแท้จริงเพียงอย่างเดียวคือเพื่อจะกระทำอนาจารผู้เสียหาย การกระทำความผิดของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 284 ซึ่งเป็นบทที่หนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แม้โจทก์จะแยกบรรยายการกระทำความผิดดังกล่าวของจำเลยมาในฟ้องเป็นข้อ ก. และข้อ ค. เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายหลายหรรมต่างกัน และจำเลยให้การรับสารภาพก็ตาม ศาลจะลงโทษจำเลยหลายกรรมเป็นกระทงความผิดไม่ได้
พิพากษายืน