แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่บริษัททั้งสองซึ่งเป็นผู้ส่ง กับจำเลยที่ 2 ผู้ขนส่งได้ตกลงกันชัดแจ้งในการยกเว้นความรับผิดของ จำเลยที่ 2 ที่ไม่รับประกันความเสียหายของสินค้าที่ส่งข้อตกลงยกเว้นความรับผิดดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 625 และมีผลให้บริษัททั้งสองซึ่งเป็นผู้ส่งไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของบริษัททั้งสองซึ่งเป็นผู้เอา ประกันภัยเพียงเท่าที่สิทธิของผู้เอาประกันภัยมีอยู่ แม้โจทก์จะได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัททั้งสองไปก็เป็นการปฏิบัติไปตามข้อสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์ทำไว้กับบริษัททั้งสอง แต่หาอาจก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะรับช่วงสิทธิจากบริษัททั้งสองมาฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดต่อโจทก์ได้
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกกระจกที่โจทก์รับประกันภัยความเสียหายไว้จากบริษัทผู้ส่งมาถึงที่เกิดเหตุ มีรถยนต์บรรทุกกระบะพ่วงขับแซงรถของจำเลยที่ 1 ขึ้นไปแต่แซงยังไม่พ้น แล้วหักหัวรถตัดหน้ารถจำเลยที่ 1 กะทันหัน จำเลยที่ 1 จึงหักหัวรถหลบไปทางซ้าย แต่หักมากไม่ได้เพราะติดราวสะพาน แล้วจำเลยที่ 1 หักหัวรถมา ทางขวาเข้าช่องทางปกติ เชือกซึ่งยึดกระจกที่บรรทุกมาขาด ทำให้กระจกไปตีกระบะด้านซ้ายหักกระจกแตกเสียหาย พฤติการณ์ดังกล่าวจึงฟังได้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่เกิดจากเหตุสุดวิสัย จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยซึ่งโจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอา ประกันภัยแล้ว ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ผู้ทำละเมิดชำระเงินจำนวน ๒๕๓,๖๓๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๒๔๒,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๒ ผู้ขนส่งรับผิดชำระเงินจำนวน ๕๑๕,๒๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๔๙๑,๖๑๓ บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุ แต่จำเลยที่ ๑ มิใช่ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ ๒ วันเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ขับรถด้วยความระมัดระวัง มีรถยนต์บรรทุกกระบะพ่วงขับแซง แล้วขับรถปาดหน้ารถของจำเลยที่ ๑ ในระยะกระชั้นชิดเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ ต้องหักรถหลบ กระที่บรรทุกมาถ่วงกดทับลงไปด้านเดียวและมีน้ำหนักมากเป็นเหตุให้เชือกที่ผูกมัดกระจกขาด กระจกล้มไปกระแทกกับกระบะรถได้รับความเสียหาย จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดต่อผู้ว่าจ้างให้ขนส่ง โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยจึงไม่มีอำนาจรับช่วงสิทธิมาฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่มีนิติสัมพันธ์ ๆ กับจำเลยที่ ๑ และนายประดิษฐ์ จำเลยที่ ๒ มิใช่เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุทั้งสองคัน จำเลยที่ ๑ และ นายประดิษฐ์จะขับรถโดยประมาทหรือไม่ จำเลยที่ ๒ ไม่ทราบ บุคคลทั้งสองไม่ได้เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ เคยรับจ้างบรรทุกสินค้าของบริษัทสยาม วี. เอ็ม. ซี. จำกัด แต่มีข้อตกลงยกเว้นความรับผิดไว้ชัดแจ้งว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดในความเสียหายของกระจกที่รับจ้างบรรทุก โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ วินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยการขนส่งกระจกของบริษัทสยาม วี. เอ็ม. ซี. จำกัด และบริษัทสยาม วี. เอ็ม. ซี. กระจกนิรภัย จำกัด ที่จะเกิดความเสียหายในระหว่างการขนส่ง เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๓๖ จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกกระจกดังกล่าวไปส่งลูกค้าในระหว่างทางกระจกแตกเสียหาย และเมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๓๖ นายประดิษฐ์ พรวิเศรษฐสิริกุล ขับรถยนต์บรรทุกกระจกดังกล่าวระหว่างทางรถยนต์บรรทุกพลิกคว่ำ ทำให้กระจกแตกเสียหาย โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้ว บริษัทสยาม วี. เอ็ม. ซี. จำกัด และ บริษัทสยาม วี. เอ็ม. ซี. กระจกนิรภัย จำกัด ตกลงให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับขนกระจกในราคาเที่ยวละ ๒,๐๐๐ บาท โดยจำเลยที่ ๒ ไม่รับประกันความเสียหายของสินค้า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อยกเว้น ความรับผิดของผู้ขนส่ง ซึ่งบริษัททั้งสองได้แสดงความตกลงด้วยชัดแจ้งแล้ว จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้รับขนจึงไม่ต้อง รับผิดในความเสียหายของบริษัททั้งสอง โจทก์ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิจึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่ ๒ รับผิดต่อโจทก์ได้ จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ควบคุมยานพาหนะซึ่งเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลจะต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยซึ่งข้อเท็จจริงเชื่อว่าความเสียหายของกระจกเกิดจากจำเลยที่ ๑ หักหลบรถยนต์บรรทุกกระบะพ่วงที่แซงขึ้นมาอย่างกะทันหัน ความเสียหายเกิดจากเหตุสุดวิสัย จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายดังกล่าว โจทก์ไม่อาจรับช่วงสิทธิมาฟ้องบังคับจำเลยที่ ๑ ได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ เป็นนายจ้างหรือตัวการของจำเลยที่ ๑ อันจะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ อีก พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า ข้อตกลงยกเว้นความรับผิดที่ไม่รับประกันความเสียหายของสินค้าที่ขนส่ง เป็นข้อตกลงระหว่างบริษัทสยาม วี. เอ็ม. ซี. จำกัด และบริษัทสยาม วี. เอ็ม. ซี. กระจกนิรภัย จำกัด กับจำเลยที่ ๒ ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกนั้น เห็นว่า เมื่อบริษัทสยาม วี. เอ็ม. ซี. จำกัด และ บริษัท สยาม วี. เอ็ม. ซี. กระจกนิรภัย จำกัด ผู้ส่ง กับจำเลยที่ ๒ ผู้ขนส่ง ได้ตกลงกันชัดแจ้งในการยกเว้นความผิดรับของจำเลยที่ ๒ ข้อตกลงยกเว้นความรับผิดดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๒๕ และมีผลให้บริษัททั้งสองไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๒ โจทก์ซึ่งเป็น ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของบริษัททั้งสองซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเพียงเท่าที่สิทธิของผู้เอาประกันภัยมีอยู่ แม้โจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัททั้งสองไปก็เป็นการปฏิบัติไปตามข้อสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัย ที่โจทก์ทำไว้กับบริษัททั้งสอง แต่หาอาจก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะรับช่วงสิทธิจากบริษัททั้งสองนำคดีมาฟ้องจำเลยที่ ๒ ให้รับผิดต่อโจทก์ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๘๐๙/๒๕๓๙ ที่โจทก์อ้างมาในฎีกานั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ที่วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีพยานอื่นใดมาสืบพิสูจน์ว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถโดยประมาทพฤติการณ์ดังกล่าวจึงฟังได้ว่าความเสียหายเกิดจากเหตุสุดวิสัย จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วย เพราะตามบทบัญญัติมาตรา ๔๓๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หน้าที่นำสืบตกแก่จำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๑ มิได้นำสืบให้เห็นโดยปราศจากสงสัยว่าความเสียหายเกิดจากเหตุสุดวิสัย จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องนั้น เห็นว่าในปัญหาเรื่องความรับผิดของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค ๗ วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ นำสืบว่า ขณะขับรถมาถึงที่เกิดเหตุมีรถยนต์บรรทุกกระบะพ่วงขับแซงยังไม่พ้น แล้วหักหลบมาทางซ้ายเนื่องจากเห็นเจ้าพนักงานตำรวจจราจรยืนอยู่ด้านหน้า จำเลยที่ ๑ จึงขับรถหักมาทางซ้ายแต่หักมากไม่ได้เพราะติดราวสะพาน แล้วจำเลยที่ ๑ หักรถมาทางขวาเข้าช่องทางปกติ เชือกซึ่งยึดกระจกที่บรรทุกมาขาด ทำให้กระจกไป ตีกระบะด้านซ้ายหัก และกระจกล้มไปพาดราวสะพาน จำเลยที่ ๑ หยุดรถได้ทันทีกระจกจึงไม่ตกไปที่พื้น สอดคล้องกับทางนำสืบของโจทก์ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.๔ ที่ว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถหักหลบรถที่แซงขึ้นมาทำให้กระจกตกหล่นเกิดความเสียหาย โดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถเฉี่ยวชนราวสะพาน การนำกระจกขึ้นบรรทุกกระบะท้ายรถไม่ใช่หน้าที่ของจำเลยที่ ๑ แต่เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของบริษัทสยาม วี. เอ็ม. ซี. จำกัด เป็น ผู้ดำเนินการ สภาพการบรรทุกกระจกไม่มั่นคงเพียงพอ หากจำเลยที่ ๑ ไม่หักหลบย่อมเกิดเหตุเฉี่ยวชนและก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก เมื่อโจทก์ไม่มีพยานอื่นใดมาสืบพิสูจน์ว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถโดยประมาท จึงเชื่อว่าความเสียหายเกิดจากการหักหลบรถยนต์บรรทุกกระบะพ่วงที่แซงขึ้นมาอย่างกะทันหันหาใช่กรณีที่จำเลยที่ ๑ ขับรถโดยประมาทเฉี่ยวชนราวสะพาน พฤติการณ์ดังกล่าวจึงฟังได้ว่าความเสียหายเกิดจากเหตุสุดวิสัย ดังนี้เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ได้วินิจฉัยพยานหลักฐานของจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีภาระการพิสูจน์ไว้ชัดแจ้งแล้ว มิได้วินิจฉัยแต่เพียงว่า โจทก์ไม่มีพยานอื่นใดมาพิสูจน์ว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถโดยประมาท ดังที่โจทก์อ้างมาในฎีกาแต่อย่างใด พฤติการณ์ดังกล่าวตามที่จำเลยที่ ๑ นำสืบมาจึงฟังได้ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะความประมาทของจำเลยที่ ๑ แต่เกิดจากเหตุสุดวิสัย จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
(สมศักดิ์ เนตรนัย – ไพศาล เจริญวุฒิ – สายันต์ สุรสมภพ