แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนจี้บังคับให้ผู้เสียหายขึ้นนั่งรถยนต์แล้วให้ผู้เสียหายขับไป อันเป็นการพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารโดยการขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย และใช้อำนาจผิดคลองธรรม โดยโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร ถึงแม้ว่าความผิดฐานใช้อุบายหลอกลวงไปเพื่อการอนาจารกับความผิดฐานขู่เข็ญและใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อการอนาจารจะเป็นความผิดในมาตราเดียวกัน แต่ลักษณะของการกระทำต่างกัน องค์ประกอบในการกระทำความผิดจึงต่างกัน แม้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวง ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 276, 284, 309, 310, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสาม, 284 วรรคแรก, 309 วรรคสอง, 310 วรรคแรก, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานข่มขืนกระทำชำเราโดยมีหรือใช้อาวุธปืนกับฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร ฐานข่มขืนใจผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 20 ปี รวมจำคุก 20 ปี 12 เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ผู้เสียหายอายุ 21 ปี กำลังศึกษาอยู่ระดับอุดมศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ในอำเภอเมืองอุบลราชธานี อยู่บ้านกับมารดาที่อำเภอเมืองอุบลราชธานี ส่วนบิดาผู้เสียหายทำงานอยู่ต่างจังหวัด กลับบ้าน 2 สัปดาห์ต่อครั้ง ผู้เสียหายมีคนรักกำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่กรุงเทพมหานคร คบหากันมา 6 ถึง 7 ปีแล้ว ระหว่างศึกษาผู้เสียหายหารายได้ด้วย โดยเป็นครูสอนลีลาศ และเนื่องจากผู้เสียหายมีรูปร่างหน้าตาดี จึงรับเป็นพิธีกรประชาสัมพันธ์สินค้าต่าง ๆ และรับทำหน้าที่เป็นพริตตี้ตามงานต่าง ๆ ส่วนจำเลยอายุ 31 ปี บ้านอยู่ที่จังหวัดอำนาจเจริญ ทำกิจการร้านอาหารที่กรุงเทพมหานครด้วย วันที่ 16 กรกฎาคม 2553 ผู้เสียหายและหญิงหน้าตาดีหลายคนรับการว่าจ้างไปทำหน้าที่พริตตี้โฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้ารถยนต์ยี่ห้อโปรตอน โดยมีรถจักรยานยนต์ประเภทบิ๊กไบค์และชอปเปอร์หลายคันเข้าร่วมขบวนแห่รถยนต์ยี่ห้อโปรตอนไปรอบตัวเมืองอุบลราชธานี เพื่อดึงดูดความสนใจจากประชาชนทั่วไป จำเลยทำหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์คันที่ผู้เสียหายซ้อนท้าย ผู้เสียหายกับจำเลยไม่รู้จักกันมาก่อน เพิ่งรู้จักกันวันนี้เป็นครั้งแรก รุ่งขึ้นจำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โทรศัพท์และส่งข้อความในลักษณะเกี้ยวพาราสีมายังโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายหลายครั้ง วันที่ 18 เดือนเดียวกันซึ่งเป็นวันอาทิตย์ จำเลยโทรศัพท์มายังผู้เสียหายตั้งแต่เวลา 6 นาฬิกา หลายครั้ง จนกระทั่งเวลา 9 นาฬิกา จำเลยโทรศัพท์มาอีก บอกว่าจำเลยไม่ค่อยสบาย ให้ผู้เสียหายขับรถยนต์ไปพบจำเลยที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาอุบลราชธานี ผู้เสียหายจอดรถยนต์ที่ห้างดังกล่าว แล้วลงจากรถเดินไปที่จำเลยซึ่งนั่งอยู่ในรถกระบะที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ แล้วผู้เสียหายเป็นผู้ขับรถกระบะดังกล่าวโดยมีจำเลยนั่งหน้าคู่กับผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายอ้างว่าจำเลยใช้อาวุธปืนสั้นขู่บังคับให้ผู้เสียหายขึ้นรถและขับรถ ผู้เสียหายขับรถไปได้ 1 กิโลเมตร ก็เข้าไปที่ห้องหมายเลข 8 ของโรงแรมคันทรีแคมป์ อำเภอเมืองอุบลราชธานี ลักษณะเป็นโรงแรมม่านรูด แล้วจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง ซึ่งผู้เสียหายอ้างว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ส่วนจำเลยอ้างว่าผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยกระทำชำเรา จากนั้นจำเลยขับรถยนต์ของเพื่อนจำเลยมาส่งผู้เสียหายที่ห้างดังกล่าว หลังจากนั้นในวันเดียวกันจำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โทรศัพท์และส่งข้อความมายังโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายหลายครั้ง มีข้อความด้วยว่า พี่ขอโทษ พี่ผิดไปแล้ว ต่อมาเที่ยงคืนของวันที่ 18 ต่อคืนวันที่ 19 เดือนเดียวกัน ผู้เสียหายโทรศัพท์เล่าเรื่องที่ถูกจำเลยกระทำชำเราให้คนรักซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานครฟัง คนรักโทรศัพท์บอกมารดาผู้เสียหาย มารดาผู้เสียหายสอบถามผู้เสียหาย แล้วพาผู้เสียหายไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในคืนนั้นเองเวลา 2.30 นาฬิกา รุ่งขึ้นผู้เสียหายให้การต่อพนักงานสอบสวน ตามบันทึกคำให้การ วันที่ 29 เดือนเดียวกัน จำเลยมอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ โดยจะขอให้การในชั้นศาล มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 หรือไม่ ความผิดฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนจี้บังคับให้ผู้เสียหายขึ้นนั่งรถยนต์แล้วให้ผู้เสียหายขับไป อันเป็นการพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารโดยการขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย และใช้อำนาจผิดคลองธรรม โดยโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร ถึงแม้ว่าความผิดฐานใช้อุบายหลอกลวงไปเพื่อการอนาจารกับความผิดฐานขู่เข็ญและใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อการอนาจารจะเป็นความผิดในมาตราเดียวกัน แต่ลักษณะของการกระทำต่างกัน องค์ประกอบในการกระทำความผิดจึงต่างกัน แม้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงดังข้างต้นว่าจำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวง ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคหนึ่ง ให้ลงโทษจำคุก 4 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 3 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก