คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 419/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้เช่าทำสัญญาเช่าเคหะไว้โดยมีกำหนดระยะเวลาหนึ่ง เมื่อครบกำหนดแล้วผู้ให้เช่ากับผู้เช่าได้มีการต่ออายุสัญญาออกไปอีกโดยตกลงกันว่า เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ต่อออกไปนี้แล้ว ผู้เช่ายินยอมจะออกไปจากที่เช่านั้น ถือได้ว่าได้รับความยินยอมจากผู้เช่าตามความหมายของมาตรา 17(5) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 แล้ว ผู้ให้เช่าจึงฟ้องขับไล่ผู้เช่าได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าบ้านของโจทก์เพื่อค้าขาย เมื่อสิ้นอายุสัญญาเช่า จำเลยขอผัดจะออกไปจากบ้านโจทก์ภายในกำหนด ๑ ปี ต่อมาจำเลยสัญญาว่าจะขนย้ายออกจากบ้านโจทก์ภายใน ๓ ปี ครั้นครบกำหนดจำเลยไม่จัดการย้ายออกไป จึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร และให้ใช้ค่าเสียหายด้วย
จำเลยให้การว่า เช่าบ้านโจทก์อยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อความที่โจทก์จำเลยตกลงกันนั้น ถือได้ว่าเป็นความยินยอมของจำเลยตกลงกันนั้น ถือได้ว่าเป็นความยินยอมของจำเลยที่จะออกจากบ้านเช่า จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครอง พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวาร
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์จำเลยทำความตกลงกันโดยจำเลยในฐานะผู้เช่าให้ความยินยอมโยกย้ายออกไปโดยไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ เมื่อครบ ๓ ปีนั้น หาได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยแต่ประการใดไม่ เพราะจำเลยมิได้ให้ความยินยอมดังกล่าวในวันหรือก่อนทำสัญญาเช่า กลับปรากฏว่าได้ปฏิบัติกันมาตามสัญญาเช่าอันมีกำหนดระยะเวลาหนึ่งแล้ว ครั้นครบกำหนดระยะเวลานั้นแล้ว ผู้ให้เช่ากับผู้เช่าก็ยังได้มีการต่ออายุสัญญาเช่าออกไปอีกระยะหนึ่ง โดยทำความตกลงกันไว้ว่า เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ต่อออกไปนี้แล้ว ทางผู้เช่ายินยอมจะออกไปจากที่เช่า ดังนี้ถือได้แล้วว่า โจทก์ได้รับความยินยอมจากจำเลยผู้เช่าตามความหมายของมาตรา ๑๗(๕) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.๒๕๐๔ แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย

Share