แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้เช่าทำสัญญาเช่าเคหะไว้โดยมีกำหนดระยะเวลาหนึ่ง เมื่อครบกำหนดแล้วผู้ให้เช่ากับผู้เช่าได้มีการต่ออายุสัญญาออกไปอีกโดยตกลงกันว่า เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ต่อออกไปนี้แล้ว ผู้เช่ายินยอมจะออกไปจากที่เช่านั้น ถือได้ว่าได้รับความยินยอมจากผู้เช่าตามความหมายของมาตรา 17(5) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 แล้ว ผู้ให้เช่าจึงฟ้องขับไล่ผู้เช่าได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าบ้านของโจทก์เพื่อค้าขาย  เมื่อสิ้นอายุสัญญาเช่า จำเลยขอผัดจะออกไปจากบ้านโจทก์ภายในกำหนด ๑ ปี ต่อมาจำเลยสัญญาว่าจะขนย้ายออกจากบ้านโจทก์ภายใน ๓ ปี ครั้นครบกำหนดจำเลยไม่จัดการย้ายออกไป  จึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร  และให้ใช้ค่าเสียหายด้วย
จำเลยให้การว่า  เช่าบ้านโจทก์อยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อความที่โจทก์จำเลยตกลงกันนั้น  ถือได้ว่าเป็นความยินยอมของจำเลยตกลงกันนั้น  ถือได้ว่าเป็นความยินยอมของจำเลยที่จะออกจากบ้านเช่า จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครอง  พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวาร
จำเลยอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  การที่โจทก์จำเลยทำความตกลงกันโดยจำเลยในฐานะผู้เช่าให้ความยินยอมโยกย้ายออกไปโดยไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ เมื่อครบ ๓ ปีนั้น  หาได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยแต่ประการใดไม่  เพราะจำเลยมิได้ให้ความยินยอมดังกล่าวในวันหรือก่อนทำสัญญาเช่า  กลับปรากฏว่าได้ปฏิบัติกันมาตามสัญญาเช่าอันมีกำหนดระยะเวลาหนึ่งแล้ว  ครั้นครบกำหนดระยะเวลานั้นแล้ว ผู้ให้เช่ากับผู้เช่าก็ยังได้มีการต่ออายุสัญญาเช่าออกไปอีกระยะหนึ่ง โดยทำความตกลงกันไว้ว่า เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ต่อออกไปนี้แล้ว  ทางผู้เช่ายินยอมจะออกไปจากที่เช่า  ดังนี้ถือได้แล้วว่า  โจทก์ได้รับความยินยอมจากจำเลยผู้เช่าตามความหมายของมาตรา ๑๗(๕)  แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน  พ.ศ.๒๕๐๔ แล้ว  ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน  ให้ยกฎีกาจำเลย
