คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4189/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทเมื่อปี 2521 ในราคา 30,000 บาท โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อปี 2541 ซึ่งเป็นเวลาล่วงเลยมาถึงยี่สิบปี วิญญูชนทั่วไปย่อมทราบดีว่าราคาที่ดินต้องเปลี่ยนแปลงสูงขึ้น ซึ่งโจทก์อาจกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ตามราคาในขณะยื่นฟ้องได้อยู่แล้ว ข้ออ้างที่ว่า ขณะยื่นฟ้องโจทก์ไม่ทราบว่าราคาที่ดินสูงขึ้นกว่าวันที่โจทก์ซื้อที่ดินก็ดี หรือโจทก์เพิ่งคิดได้ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาว่าราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นก็ดี ล้วนเป็นกรณีที่ไม่อาจถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่โจทก์ไม่อาจยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องได้ก่อนวันสืบพยาน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2521 โจทก์ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 423/16 เนื้อที่ 3 งาน 24 ตารางวา จากนายน้อย พองพรหมบิดาจำเลยในราคา 30,000 บาท นายน้อยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) แก่โจทก์แล้ว โจทก์ครอบครองที่ดินดังกล่าวตลอดมาโดยให้นางพูลทรัพย์ แสนเสน เช่าปลูกบ้าน แต่ยังมิได้โอนทางทะเบียน ต่อมานายน้อยถึงแก่ความตาย โจทก์ได้เรียกร้องให้จำเลยในฐานะบุตรนายน้อยจดทะเบียนโอนที่ดินแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยไปโอนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปโอนทางทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การว่า นายน้อย พองพรหม ไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ แต่นายน้อยขายที่ดินพิพาทให้นางพูลทรัพย์ นายน้อยถึงแก่ความตายก่อนจดทะเบียนโอนให้นางพูลทรัพย์ ขอให้ยกฟ้อง

ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความอ้างว่า ผู้ร้องสอดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โดยซื้อจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 682/2532 ระหว่างนายเฮียเฮียง แซ่เตีย โจทก์ นางพูลทรัพย์ แสนเสน จำเลย แต่ยังมิได้โอนทางทะเบียนเพราะหาเอกสารสิทธิในที่ดินดังกล่าวไม่พบ ผู้ร้องสอดได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว นายน้อยไม่ได้ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และโจทก์ไม่ได้ให้นางพูลทรัพย์เช่าที่ดินพิพาท แต่นายน้อยได้ขายที่ดินให้นางพูลทรัพย์ นายน้อยถึงแก่ความตายก่อนจะจดทะเบียนโอนแก่นางพูลทรัพย์ ขอให้ยกฟ้อง

โจทก์ยื่นคำให้การแก้คำร้องสอดว่า ผู้ร้องสอดไม่ใช่ผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์สินที่มีการขายทอดตลาดในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 682/2532ของศาลชั้นต้น ผู้ร้องสอดเพิ่งเข้าครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องผู้ร้องสอดเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 524/2541 ของศาลชั้นต้น ในข้อหาบุกรุกแล้ว ผู้ร้องสอดไม่มีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาทจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องสอดขอให้ยกคำร้องสอด

หลังจากสืบพยานโจทก์พยานจำเลยและพยานผู้ร้องสอดเสร็จก่อนถึงวันนัดฟังคำพิพากษา โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเกี่ยวกับจำนวนทุนทรัพย์ว่า ราคาที่ดินพิพาทจำนวน 30,000 บาท ตามที่โจทก์ฟ้องเป็นราคาที่ดินพิพาทที่ซื้อขายกันในปี 2521 แต่ขณะยื่นฟ้องราคาที่ดินพิพาทเพิ่มขึ้นเป็นเงิน 81,000 บาท เป็นข้อผิดหลงเล็กน้อยและโจทก์เพิ่งทราบภายหลัง ขอเพิ่มจำนวนทุนทรัพย์จากจำนวน 30,000 บาทเป็น 81,000 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์โดยขอเพิ่มจำนวนทุนทรัพย์ มีเหตุอันสมควรที่โจทก์ไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยานหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ไม่มีการชี้สองสถาน โจทก์จึงต้องยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่มีเหตุอันสมควรไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทเมื่อปี 2521 ในราคา 30,000 บาท โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อปี 2541 ซึ่งเป็นเวลาล่วงเลยมาถึงยี่สิบปี วิญญูชนทั่วไปย่อมทราบดีว่าราคาที่ดินเปลี่ยนแปลงสูงขึ้น ซึ่งโจทก์อาจกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ตามราคาในขณะยื่นฟ้องได้อยู่แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าขณะยื่นฟ้องโจทก์ไม่ทราบว่าราคาที่ดินสูงขึ้นกว่าวันที่โจทก์ซื้อที่ดินก็ดี หรือโจทก์เพิ่งคิดได้ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาว่าราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นก็ดี ล้วนเป็นกรณีที่ไม่อาจถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่โจทก์ไม่อาจยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องได้ก่อนวันสืบพยาน ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share