คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4184/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 190,454 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ฎีกาขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาคงมีจำนวนเพียง 190,454 บาทส่วนดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ถือเป็นค่าเสียหายในอนาคตจะนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาหาได้ไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่ว่าจำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อและจำเลยที่ 1 มิใช่ลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ขับรถยนต์ตามคำสั่งและในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2531เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยขับไปตามถนนสายสามแยกนาพรุ-สี่แยกเบญจฯ ด้วยความประมาทไม่ได้ระมัดระวังว่ามีรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก-0193 นครศรีธรรมราช แล่นสวนทางมาเป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 1 ขับพุ่งเข้าชนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก-0193 นครศรีธรรมราช ซึ่งนายดำรงค์จิระพิบูลย์พันธ์ เป็นผู้ขับในช่องเดินรถของรถที่สวนมาทำให้นางอุมาพรภรรยาโจทก์ถึงแก่ความตาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 302,054 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ระหว่างส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ที่จำเลยที่ 1 ขับรถของจำเลยที่ 3 ไปชนกับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก-0193 นครศรีธรรมราช นั้น เป็นการนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยที่ 1 นอกทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินจำนวน190,454 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 บัญญัติไว้ความว่า ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 3ชำระเงินจำนวน 190,454 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 3ฎีกาขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดี จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาคงมีจำนวนเพียง 190,454 บาท ส่วนดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ถือเป็นค่าเสียหายในอนาคตจะนำมารวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาหาได้ไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 3ที่ว่าจำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อและจำเลยที่ 1 มิใช่ลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 3 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลยที่ 3

Share