คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4183/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยและสามีถูกธนาคารผู้รับจำนองฟ้องให้ร่วมรับผิดชำระหนี้ เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยและธนาคารได้ขอบังคับจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยนำไปจำนองไว้เป็นประกันการกู้ยืม แม้ธนาคารผู้รับจำนองจะฟ้องคดีหลังจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์แล้วก็ตาม แต่หนี้ที่ จำเลยมีอยู่ธนาคารเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนและเป็นหนี้ที่มิได้เกิดจากการสมยอมระหว่างจำเลยกับธนาคาร การที่จำเลยตกลงยินยอมให้พ.เป็นผู้ชำระหนี้เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินต่อธนาคารแทนจำเลยและรับโอนที่ดินไป โดยมีข้อตกลงให้จำเลยซื้อที่ดินจากพ.คืนกลับไปได้โดยพ.ต้องชำระเงินต้นกับดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมภาษีและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แก่ธนาคารผู้รับจำนอง จึงเป็นกรณีที่จำเลย ต้องกระทำเพื่อมิให้ธนาคารเจ้าหนี้ผู้รับจำนองบังคับจำนองแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยถือไม่ได้ว่าจำเลยโอนขายทรัพย์สินของตนไปโดยเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 35

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลแพ่งแล้วผิดนัดไม่ชำระหนี้ ศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการยึด อายัดทรัพย์สินของจำเลย ต่อมาจำเลยโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่นางสาวพัชรา ธนะสัมบัญเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยชำระหนี้แล้ว จำเลยได้โอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไปเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 จำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมซึ่งศาลแพ่งมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2538 จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์จึงขอให้ศาลแพ่งออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินของจำเลยเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2538 แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ทำสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 182413 ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นางสาวพัชรา ธนะสัมบัญ ไปเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2538
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 หรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า หลังจากจำเลยตกเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาแล้วเหตุที่จำเลยไปทำสัญญาขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยให้แก่นางสาวพัชราในภายหลังอีก ก็เนื่องจากในวันที่ 24 สิงหาคม 2538 จำเลยและนายเหมือน โปมิ่ง สามีจำเลยถูกธนาคารทหารไทย จำกัด ฟ้องให้ร่วมกันรับผิดชำระหนี้เงินกู้จำนวน 420,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและธนาคารได้ขอบังคับจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยนำไปจำนองไว้เป็นประกันการกู้ยืมด้วย แม้ธนาคารทหารไทย จำกัดจะได้ฟ้องคดีหลังจากที่โจทก์ฟ้องจำเลยแล้วก็ตาม แต่หนี้ที่จำเลยมีอยู่ต่อธนาคารเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 และเชื่อได้ว่าเป็นหนี้ที่มิได้เกิดจากการสมยอมระหว่างจำเลยกับธนาคาร ดังนั้น การที่จำเลยตกลงยินยอมให้นางสาวพัชราเป็นผู้ชำระหนี้เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินต่อธนาคารแทนจำเลย และรับโอนที่ดินไปโดยมีข้อตกลงให้จำเลยซื้อที่ดินคืนกลับไปได้ โดยนางสาวพัชรเบิกความว่าต้องชำระเงินต้นกับดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมภาษีและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แก่ธนาคารทหารไทย จำกัด รวมเป็นเงินประมาณ 600,000 บาท การที่จำเลยทำสัญญาโอนขายที่ดินให้แก่นางสาวพัชราดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่จำเลยต้องกระทำเพื่อมิให้ธนาคารทหารไทยเจ้าหนี้ผู้รับจำนองบังคับจำนองแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลย ถือไม่ได้ว่าจำเลยโอนขายทรัพย์สินของตนไปโดยเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้ตามฟ้อง การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้องโจทก์

พิพากษายืน

Share