คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 418/2528

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยมีรายได้สุทธิจากการประกอบการค้าหลายแห่งเดือนละประมาณ 40,000 บาท การที่จำเลยสวมสร้อยคอทองคำของกลางน้ำหนัก 387.2 กรัม หรือประมาณ 25 บาท ราคาหนึ่งแสนบาทเศษตามปกติไม่ได้ซ่อนเร้นหรือปิดบัง ขณะจะเดินทางไปต่างประเทศไม่เป็นการเกินฐานานุรูปของจำเลย ไม่มีความผิด

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27 พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 มาตรา 24 พระราชกฤษฎีกาควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2485 เป็นเพียงพยายาม ลงโทษปรับ 2 ใน 3ของจำนวนเงินสี่เท่าของราคาของ ซึ่งคำนวณได้เป็นเงิน 343,809.94บาท สร้อยคอทองคำของกลางริบ ส่วนกรอบพระเครื่องทองคำของกลางให้คืนจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ให้คืนสร้อยคอทองคำของกลางแก่จำเลย โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยพยายามนำสร้อยคอทองคำของกลางออกนอกราชอาณาจักรโดยผิดต่อกฎหมายหรือไม่ ได้ความว่าสร้อยคอทองคำของกลางเป็นทองรูปพรรณมีน้ำหนัก 387.2 กรัม หรือประมาณ 25 บาท ซึ่งจำเลยใช้สวมคอและมีพระเลี่ยมทองห้อยติดอยู่ด้วย จำเลยนำสืบว่าเมื่อมีเงินเหลือจำเลยชอบซื้อสร้อยคอทองคำ ครั้งแรกซื้อหนัก 10 บาท ต่อมาเปลี่ยนเป็นหนัก15 บาทแล้วเปลี่ยนเป็นหนัก 25 บาท คือเส้นของกลางซึ่งซื้อมาจากร้านขายทองตั้งจิ้นเฮง ถนนเยาวราช เมื่อกลางปี พ.ศ. 2522 เป็นสร้อยที่ทำสำเร็จแล้ววางขายอยู่ในตู้หน้าร้าน จำเลยใช้สวมคอเวลามีงานต่าง ๆ วันเกิดเหตุจำเลยสวมสร้อยคอทองคำของกลางพร้อมพระเลี่ยมทองคำเป็นเครื่องประดับกายไม่ใช่เพื่อจะนำไปขายต่างประเทศ นายธีระศักดิ์พยานโจทก์ว่าผู้โดยสารสามารถนำทองรูปพรรณติดตัวออกไปนอกราชอาณาจักรได้ตามฐานานุรูปโดยไม่ได้กำหนดขนาดและน้ำหนักไว้เมื่อตรวจค้นกระเป๋าถือของจำเลยไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย จึงใช้มือคลำที่คอเสื้อของจำเลยก็พบสร้อยคอทองคำของกลาง แสดงว่าจำเลยสวมสร้อยคอทองคำของตนตามปกติไม่ได้ซ่อนเร้นหรือปิดบังอันจะส่อพิรุธว่าจำเลยมีเจตนาจะลักลอบนำออกไปนอกราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายสำหรับฐานะทางการเงินของจำเลยนั้น จำเลยนำสืบว่า จำเลยตั้งร้านขายเครื่องอะไหล่เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และรับซ่อมด้วย ชื่อร้านเจริญพาณิชย์ตั้งอยู่เลขที่ 38/6 ถนนวรจักร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร กับเปิดร้านขายข้าวสารชื่อเจริญชัยค้าข้าว ตั้งอยู่เลขที่ 3 ถนนประชาสงเคราะห์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานครตามสำเนาภาพถ่ายใบทะเบียนพาณิชย์เอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 และจำเลยยังร่วมทุนกับพี่น้องตั้งโรงสีข้าว ชื่อโรงสี่ยี่สิบไพบูลย์ อยู่ที่อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรามีรายได้สุทธิจากการประกอบธุรกิจดังกล่าวเดือนละประมาณ 40,000 บาท ฝ่ายโจทก์ไม่ได้นำสืบในเรื่องรายได้ของจำเลยให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีฐานะทางการเงินดี การที่จำเลยสวมสร้อยคอทองคำของกลางราคาหนึ่งแสนบาทเศษยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการเกินฐานานุรูปของจำเลยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share