คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4172/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยให้การรับว่าได้กู้ยืมเงินตามที่โจทก์ฟ้องจริง แต่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ไปแล้วบางส่วน ยังคงค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น ดังนี้แม้โจทก์นำสืบไม่ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยคงเป็นหนี้โจทก์อยู่เพียงไร แต่เมื่อจำเลยให้การรับเช่นนี้ จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้หนี้ตามจำนวนเงินที่จำเลยให้การรับดังกล่าวแก่โจทก์ จำเลยฎีกาในข้อที่นอกเหนือไปจากที่ได้ให้การและนำสืบต่อสู้ทั้งเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 70,125 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 51,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินตามที่โจทก์ฟ้องแต่จำเลยได้ใช้ให้โจทก์ไปแล้วบางส่วน ยังคงค้างชำระต้นเงินกับดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 22,913.75 บาทเท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 53,876 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 51,000 บาทนับแต่วันที่ 17 เดือน 2 (น่าจะหมายถึงเดือนกุมภาพันธ์) พ.ศ. 2527จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพั
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 51,000 บาท ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญา โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับถึงวันฟ้องเพียง5 ปี เป็นเงิน 19,125 บาท รวมเป็นเงิน 70,125 บาท ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยชำระเงิน 70,125 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 51,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การและนำสืบต่อสู้ว่า จำเลยได้ใช้หนี้ให้โจทก์ไปแล้วเป็นเงิน 32,000 บาท จำเลยยังคงค้างชำระหนี้เป็นเงิน 19,000 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่เดือนเมษายน 2525 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 3,913.75 บาทรวมเป็นเงิน 22,913.75 บาท ข้อที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์ไปแล้วรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 63,100 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเกินกว่าที่จำเลยให้การและนำสืบไว้ จึงเป็นการฎีกานอกเหนือไปจากที่จำเลยให้การและนำสืบต่อสู้ ทั้งยังเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แต่ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์นำสืบว่า หลังจากที่จำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์แล้ว จำเลยนำต้นเงินและดอกเบี้ยมาชำระแก่โจทก์และกู้ยืมเงินเพิ่มเติมจากโจทก์ไปอีก มีการคิดหักทอนบัญชีกันปีละครั้ง จำเลยเป็นหนี้เท่าใด ก็ให้จำเลยลงชื่อรับทราบไว้ตามเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่อีกเป็นเงิน53,876 บาท นั้นก็เป็นการนำสืบนอกเหนือไปจากที่โจทก์ฟ้องอ้างว่าหลังจากที่จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 51,000 บาทแล้วจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญา และไม่อาจถือได้ว่าจำนวนหนี้ตามที่คิดหักทอนบัญชีกันตามเอกสารหมาย จ.3 เป็นหนี้ที่จำเลยค้างชำระโจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ในคดีนี้ เพราะมีการหักทอนหนี้ตามที่จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์เพิ่มเติมอันเป็นหนี้รายอื่นด้วย ข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจากทำสัญญากู้ยืมเงินรายนี้แล้ว จำเลยได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ไปบ้างแล้วบางส่วน ดังนั้นกรณีจึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้อง อย่างไรก็ตามเมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่เพียงไร แต่เมื่อจำเลยให้การรับว่าจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นเงิน 22,913.75 บาทจำเลยก็ต้องรับผิดใช้หนี้จำนวนดังกล่าวนี้แก่โจทก์”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 22,913.75 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.

Share