แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสรรพากรจังหวัดสั่งให้จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 3 เสนอสำนวนการตรวจสอบภาษีอากรของห้าง จ. ต่อจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ก็ปฏิบัติตาม โดยไม่ผ่านการตรวจพิจารณาของโจทก์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยสรรพากรจังหวัด ตามคำสั่งและระเบียบปฏิบัติของทางราชการนั้น เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้บังคับบัญชาย่อมมีอำนาจที่จะสั่งการใด ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามได้ เพื่อให้งานดำเนินไปโดยถูกต้องและรวดเร็วเกิดผลดีแก่ทางราชการ ทั้งนี้เพราะคำสั่งและระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ ย่อมมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ส่วนจำเลยที่ 1 นั้นเพิ่งจะเข้ารับราชการ ย่อมจะต้องเชื่อ ฟังและปฏิบัติตามจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในสำนักงานประกอบกับโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้มีการโต้เถียง กันเกี่ยวกับการตรวจสอบภาษีอากรของห้างดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่อาจฟังได้ว่า มีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อันจะเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การที่จำเลยที่ 2 รายงานต่ออธิบดีกรมสรรพากรว่า โจทก์ได้มอบเงินแก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้จำเลยที่ 2 ช่วยเหลือในการชำระภาษีอากรของห้าง จ. นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีพฤติการณ์ดัง ที่จำเลยที่ 2 รายงานโดยจำเลยที่ 2 ซึ่งมีเรื่องโกรธเคืองกับโจทก์เป็นส่วนตัวแกล้งรายงานดังกล่าว จนโจทก์ถูกตั้งกรรมการสอบสวนและให้ออกจากราชการไว้ก่อน จึงเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม ป.อ. มาตรา 157 และการบรรยายฟ้องในเรื่องแกล้งรายงานของจำเลยที่ 2 นี้เป็นการบรรยายฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามมาตรา 157อีกกระทงหนึ่ง นอกเหนือจากข้อหาหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 ซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว จึงลงโทษจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 157 ได้ เมื่อการกระทำของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายฟ้องจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 157 ได้ แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ประกอบกับจำเลยที่ 2 รับราชการมานาน ทำคุณประโยชน์แก่ทางราชการจนได้รับแต่ง ตั้งให้เป็นสรรพากรจังหวัด กรณีจึงมีเหตุสมควรรอการลงโทษแก่จำเลยที่ 2.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 326, 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์และยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ข้อหาหมิ่นประมาท
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อหาหมิ่นประมาทเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม ให้ยกคำร้อง และพิพากษากลับให้ประทับฟ้องโจทก์ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 จำคุก 1 ปี ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง ลงโทษจำเลยที่ 2 ทุกกระทงความผิดที่กล่าวในฟ้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ให้จำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้ลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 2 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งสรรพากรจังหวัดเลย เป็นหัวหน้าสำนักงานสรรพากรจังหวัดเลย…โจทก์เป็นผู้ช่วยสรรพากรจังหวัดเลยได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และตรวจสอบภาษีอากร มีจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 3…อยู่ใต้บังคับบัญชาของโจทก์และจำเลยที่ 2…ห้างหุ้นส่วนจำกัด ใจสดชื่น ได้นำหลักฐานบัญชีการค้ามาให้สำนักงานสรรพากรจังหวัดเลยตรวจสอบ…จำเลยที่ 2 สั่งให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการตรวจสอบ จำเลยที่ 1 ได้ตรวจสอบภาษีอากรของห้างดังกล่าว…ปรากฏว่าห้างจะต้องเสียภาษีอากรเพิ่ม…จึงได้เสนอรายงานการตรวจสอบ…โดยตรงต่อจำเลยที่ 2…โดยไม่ผ่านโจทก์ตรวจสอบก่อนเพราะจำเลยที่ 2 มีคำสั่งเช่นนั้น…เห็นว่า คำสั่งจังหวัดเลย…เรื่อง การจัดรูปงานและอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ในสำนักงานสรรพากรจังหวัดเลย…ที่ให้โจทก์เป็นหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และตรวจสอบภาษีอากร คำสั่งสำนักงานสรรพากรจังหวัดเลย…เรื่องขั้นตอนปฏิบัติเกี่ยวกับการตรวจสอบภาษีอากรในสำนักงานสรรพากรจังหวัดเลย…หนังสือกรมสรรพากร…เรื่อง ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการตรวจสอบภาษีอากรฯ…กับเรื่องการจัดรูปงานและอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ในสำนักงานสรรพากรจังหวัด…และคำสั่งสำนักงานสรรพากรจังหวัดเลย…เรื่องกำหนดปริมาณงานและผลงานการตรวจสอบภาษี…เป็นเพียงคำสั่งให้ข้าราชการในสำนักงานสรรพากรจังหวัดเลยปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและเกิดผลดีแก่ทางราชการ คำสั่งหรือระเบียบดังกล่าวอาจจะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ดังเช่นจังหวัดเลยได้มีคำสั่ง…จัดรูปงานและอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ในสำนักงานสรรพากรจังหวัดเลยใหม่…ดังนั้นจำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าสำนักงานและเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจที่จะสั่งการใดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามได้ เพื่อให้งานในสำนักงานสรรพากรจังหวัดเลยดำเนินไปโดยถูกต้องและรวดเร็วเพื่อให้เป็นผลดีแก่ทางราชการ และข้อเท็จจริงก็ได้ความว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้เกิดโต้เถียงกันเกี่ยวกับการไต่สวนปากคำผู้มาให้ปากคำของ…ห้างหุ้นส่วนจำกัด ใจสดชื่น จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้บังคับบัญชาจึงมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 เสนอสำนวนการตรวจสอบภาษีอากรของห้างหุ้นส่วนจำกัด ใจสดชื่น ไปยังจำเลยที่ 2โดยตรงโดยไม่ต้องเสนอผ่านโจทก์ก่อนตามระเบียบและคำสั่ง ทั้งนี้เพื่อให้การบริหารงานในสำนักงานสรรพากรจังหวัดเลยเป็นไปโดยเรียบร้อยรวดเร็ว และการที่จำเลยที่ 2 สั่งให้จำเลยที่ 1 เสนอผลการตรวจสอบภาษีอากรของห้างหุ้นส่วนจำกัด ใจสดชื่น โดยตรงต่อจำเลยที่ 2นั้น…ยังไม่พอที่จะให้ฟังว่า จำเลยที่ 2 กระทำโดยมีเจตนาที่จะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จำเลยที่ 1 นั้นปรากฏว่าเพิ่งจะเข้ารับราชการเป็นครั้งแรก เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาที่สูงที่สุดในสำนักงานสั่งก็ย่อมจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม อีกทั้ง…ได้ความด้วยว่า การที่จำเลยที่ 1 แก้ไขจำนวนเงินค่าภาษีอากรที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ใจสดชื่น จะต้องเสียภาษีอากรลดลงอีกก็เพราะนายสมศักดิ์ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 5 ได้ขอสำนวนของห้างดังกล่าวไปจากจำเลยที่ 1 แล้วบันทึกข้อความที่จะแก้ไขให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตาม จำเลยที่ 1 เพิ่งจะเริ่มตรวจสอบภาษีอากรและยังไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ ย่อมจะต้องเชื่อคำแนะนำของนายสมศักดิ์ เนื่องจากเห็นว่านายสมศักดิ์มีประสบการณ์มากกว่าฉะนั้นการกระทำของจำเลยที่ 2 ซึ่งสั่งให้จำเลยที่ 1 รายงานการตรวจสอบภาษีอากรของห้างหุ้นส่วนจำกัด ใจสดชื่น ตรงต่อจำเลยที่ 2โดยไม่ผ่านโจทก์ก่อนและจำเลยที่ 1 ก็ปฏิบัติตาม รวมทั้งการที่จำเลยที่ 1 แก้ไขจำนวนภาษีอากรที่ห้างดังกล่าวจะต้องเสียเพิ่มลงอีก ยังไม่พอที่จะให้ฟังว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้กระทำไปโดยเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ อันจะเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามฟ้อง…
การที่จำเลยที่ 2 รายงานต่ออธิบดีกรมสรรพากร…มีใจความว่าโจทก์ได้มอบเงินจำนวน 15,000 บาท ซึ่งได้รับมาจากนายไทย…หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ใจสดชื่น ให้แก่จำเลยที่ 2เพื่อให้จำเลยที่ 2 ช่วยเหลือในเรื่องการชำระภาษีอากรของห้างแต่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมรับ (นั้น)…เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีพฤติการณ์ดังที่จำเลยที่ 2 รายงาน การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งมีเรื่องโกรธเคืองกับโจทก์เป็นส่วนตัว แล้วแกล้งรายงานต่ออธิบดีกรมสรรพากรซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา จนโจทก์ถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยและให้ออกจากราชการไว้ก่อน การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157…ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ได้อ้างว่า การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งมีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ได้รายงานต่ออธิบดีกรมสรรพากร…เป็นการกระทำเพื่อใส่ความและกลั่นแกล้งเพื่อให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษโจทก์ทางวินัย และดำเนินคดีกับโจทก์เป็นเหตุให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นหลงเชื่อตามที่จำเลยที่ 2รายงานเท็จไป ซึ่งความจริงไม่เป็นดังที่จำเลยที่ 2 รายงาน ทำให้โจทก์เสียหาย อันเป็นการบรรยายฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157อีกกระทงหนึ่ง นอกเหนือจากข้อหาหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามฟ้อง ศาลย่อมลงโทษจำเลยที่ 2 ตามบทมาตราดังกล่าวได้และบทบัญญัติของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ใช้ถ้อยคำว่า “…เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด…” เมื่อการกระทำของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้…
ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำความผิดหรือเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจำเลยที่ 2 รับราชการมาเป็นเวลานานและคำคุณประโยชน์แก่ทางราชการตลอดมาจนได้รับแต่งตั้งให้เป็นสรรพากรจังหวัด กรณีมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 2
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 กับให้รอการลงโทษจำเลยที่ 2 ไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”.