คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 417/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การขัดผิวหรือทำกระจกให้ใส อันจะพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่70.06 นั้น ไม่จำต้องกระทำด้วยกรรมวิธีทางเครื่องมือกลแต่เพียงอย่างเดียว การผลิตกระจกโดยใช้กรรมวิธีชั้นสูงที่ทำให้ผิวหน้ากระจกราบเรียบ เป็นเงาใสโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือกลเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวซ้ำอีกก็คือเป็นการทำให้กระจกได้รับการตกแต่งโดยขัดผิวหรือทำให้ใสแล้ว การวินิจฉัยปัญหาพิกัดอัตราศุลกากรที่โต้แย้งในคดี จะต้องใช้บทกฎหมายที่มีผลบังคับอยู่ขณะที่มีการนำเข้า ความเห็นของเจ้าหน้าที่หรือคำอธิบายของสภาความร่วมมือทางศุลกากร เป็นเพียงแนวทางของการวินิจฉัยปัญหาเท่านั้น ไม่เป็นข้อลบล้างบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ ราคาสินค้าที่นำเข้า จะต้องประเมินจากราคาขายส่งเงินสด(ไม่รวมอากรขาเข้า) หรือจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้โดยไม่ขาดทุน ณ เวลาและที่นำของเข้า ส่วนราคาที่กองวิเคราะห์ราคาได้กำหนดเป็นรายเฉลี่ยสำหรับกระจกพิพาทไว้นั้น เป็นเพียงแนวทางปฏิบัติอย่างกว้าง ๆ ในการประเมินราคาเพื่อเรียกเก็บภาษีมิได้เป็นข้อตายตัวว่าสินค้าจะต้องเป็นราคาดังกล่าวเสมอไป และการที่โจทก์เคยยื่นบัญชีราคาสินค้าต่อจำเลยไว้ และไม่มีการแจ้งถึงการเปลี่ยนแปลงราคาจะถือเอาว่าราคาสินค้ามีราคาเดิมตลอดมาก็ไม่ได้เพราะไม่มีบทกฎหมายบัญญัติให้โจทก์ต้องปฏิบัติเช่นนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้สั่งสินค้าประเภทกระจกแผ่นแก้วเกรย์ชีท(Sheet glass) เข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักรโดยโจทก์ได้แสดงในเอกสารการนำเข้าระบุเป็นสินค้าตามพิกัด 70.06 ตามที่เคยปฏิบัติมาโจทก์จะได้รับการลดหย่อนภาษีศุลกากรพิเศษตามประกาศกระทรวงการคลังที่ 3/2524 (อาเซียน 9) แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมให้โจทก์นำสินค้าที่สั่งเข้ามาดังกล่าวออก เว้นแต่โจทก์จะได้เสียภาษีในพิกัด70.05 เสียก่อน โจทก์จึงจำต้องเสียภาษีตามพิกัด 70.05 ซึ่งไม่ได้รับการลดหย่อนภาษีและจำเลยทั้งสองยังมีหนังสือถึงโจทก์ แจ้งว่าราคาสินค้าที่โจทก์สำแดงในเอกสารการนำเข้าต่ำกว่าราคาที่ซื้อขายกันโจทก์ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีเทศบาลเพิ่มซึ่งเป็นการประเมินไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง เนื่องจากจำเลยประเมินภาษีโดยอิงราคาที่มีการซื้อขายกันในปีก่อน ๆ มาเป็นเกณฑ์ขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีของจำเลยทั้งสองจากพิกัด 70.05 ไปเป็นพิกัด 70.06 ให้จำเลยทั้งสองคืนเงินจำนวน 2,193,569.78 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในต้นเงิน 2,063,196.10 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่ม
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า สินค้ากระจกแผ่นที่โจทก์นำเข้าในราชอาณาจักร โจทก์ได้สำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเพื่อชำระภาษีศุลกากรระบุว่าเป็นสินค้าตามพิกัดที่ 70.05 การที่โจทก์ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าโดยระบุพิกัดราคาสินค้าจำนวนเงินค่าภาษีต่าง ๆ และอื่น ๆ ในใบขนสินค้านั้น ๆ ก็เป็นความสมัครใจของโจทก์เองทั้งสิ้น จำเลยทั้งสองมิได้บีบบังคับโจทก์การที่โจทก์เคยนำเข้าสินค้าประเภทเดียวกันนี้โดยสำแดงพิกัด 70.06มาก่อนครั้งนี้ และเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองได้ปล่อยให้โจทก์รับสินค้าไปโดยมิได้ประเมินภาษีอากรแก่โจทก์อีกนั้น ก็เป็นเรื่องความเข้าใจคลาดเคลื่อนในพิกัดอัตราศุลกากร การที่จำเลยได้ประเมินภาษีให้โจทก์ไปเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มเติมนั้นเป็นการชอบด้วยกฎหมายและข้อเท็จจริงกล่าวคือประเมินโดยเทียบชนิดของที่โจทก์นำเข้ากับราคาตามบัญชีราคาสินค้า (Price list) แต่ละฉบับซึ่งโจทก์ได้นำส่งให้แก่เจ้าหน้าที่ของจำเลย ตามคำร้องของโจทก์เพื่อให้จำเลยใช้เป็นหลักในการประเมินราคา ส่วนราคาสินค้าตามใบขนสินค้าซึ่งโจทก์ได้สำแดงนั้นมิใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดแต่เป็นราคาที่โจทก์และผู้ขายสินค้าให้โจทก์ได้ร่วมกันกำหนดขึ้นเองเพื่อให้สินค้ามีราคาต่ำลงเพื่อให้โจทก์จะได้เสียภาษีน้อยลง และโจทก์ก็ไม่เคยขอให้มีการกำหนดราคาเพื่อใช้เป็นหลักในการประเมินราคาขึ้นใหม่แต่อย่างใด การกำหนดพิกัดของสินค้าและการประเมินราคาสินค้าจึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายและข้อเท็จจริงของราคาสินค้าแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีของจำเลยทั้งสองจากพิกัด 70.05 ไปเป็นพิกัดที่ 70.06 ให้จำเลยทั้งสองคืนเงินจำนวน2,193,569.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน2,063,196.10 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลที่ต้องชำระเพิ่ม
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเป็นประการแรกว่าสินค้ากระจกแผ่นที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรในคดีนี้ เป็นสินค้าที่จัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05 ตามที่จำเลยโต้แย้งหรืออยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.06 ตามที่โจทก์ได้สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าในขณะนำเข้า เห็นว่าสินค้ากระจกแผ่นที่มีปัญหาเป็นแผ่นกระจกสีเทา (grey sheet glass)ปรากฏลักษณะตามตัวอย่าง วัตถุพยาน หมาย วจ.2 ซึ่งเป็นแผ่นกระจกสีเทาเขียว มีความมันใสทั้งสองด้าน และโปร่งแสง ความหนาของแผ่นกระจกขนาด 5 มิลลิเมตร แผ่นกระจกดังกล่าว โจทก์เป็นผู้นำเข้าจากประเทศสิงค์โปร์ สินค้ากระจกพิพาทจะจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทใดนั้น จะต้องพิจารณาจากลักษณะและคุณสมบัติของสินค้าที่ระบุไว้ในรายการของพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2503 ซึ่งเป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์นำสินค้ากระจกพิพาทเข้ามาในราชอาณาจักรได้ความว่า ของหรือสินค้าในภาค 2 พิกัดอัตราอากรขาเข้า ท้ายพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวตอนที่ 70 แก้วและเครื่องแก้ว ได้ระบุรายการของพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05และ 70.06 ไว้ดังนี้
ประเภทที่ 70.05 “แก้วที่ยึดหรือเป่า (รวมทั้งแก้วสี) ทำเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ยังมิได้ตกแต่ง”
ประเภทที่ 70.06 “แก้วหล่อ รีด ยืด หรือ เป่า (รวมทั้งแก้วสีหรือแผ่นแก้วที่มีลวดตาข่ายยึด) ทำเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขัดผิวหรือทำให้ใสแล้ว แต่ต้องมิได้ทำมากไปกว่าที่กล่าว”
จากรายการของสินค้าที่จัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05 และประเภทที่ 70.06 ดังกล่าวนี้ เห็นว่า แม้สินค้าทั้งสองประเภทจะเป็นกระจกที่มีกรรมวิธีใด ๆ ที่ผลิตขึ้นหรือทำขึ้น และไม่ว่าจะเป็นสีหรือไม่ก็ตาม ต่างก็เป็นแก้วอันเป็นวัตถุดิบเช่นเดียวกัน ข้อแตกต่างอยู่ที่ว่า สินค้าตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05 เป็นแก้วที่ยังมิได้ตกแต่ง ส่วนสินค้าตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.06 เป็นแก้วที่ได้ขัดผิวแล้วประการหนึ่งหรือทำให้ใสแล้วอีกประการหนึ่ง ทั้งนี้จะต้องมิได้มีการทำให้แก้วนั้นมีคุณสมบัติหรือมีประโยชน์ในลักษณะการใช้สอยดีขึ้นมากไปกว่าการขัดผิวหรือทำให้ใส ซึ่งจำเลยฎีกาว่า กระจกพิพาทที่โจทก์นำเข้าเป็นกระจกที่ผลิตโดยบริษัท เอส.อี.เอ.กลาส อินดัสทรี จำกัดและใช้กรรมวิธีธรรมดาที่เรียกว่า กรรมวิธีแบบฟิตส์เบอร์กซึ่งต้องถือว่าอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05 ที่โจทก์อ้างว่า การผลิตกระจกพิพาทถูกทำให้ใสด้วยไฟที่เรียกว่า ไฟร์โพลิชนั้น ระบบไฟร์โพลิชมิได้มีสิ่งใดมากไปกว่าส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตกระจกเลย ทั้งการขัดผิวให้เรียบ ก็จะต้องทำด้วยกรรมวิธีทางเครื่องมือกลเท่านั้น ข้อโต้แย้งนี้เห็นว่า กรรมวิธีในการผลิตกระจกพิพาท โจทก์นำสืบว่า ได้ผลิตขึ้นในระบบพิลคิงตันบราเดอรส์ที่พัฒนามาจากระบบฟิดส์เบอร์กเดิม และผ่านกรรมวิธีซึ่งทำให้กระจกใสด้วยไฟ ที่เรียกว่า วิธีไฟร์โพลิชเพื่อตกแต่งผิวทำให้ใสและเป็นเงามัน เป็นการอ้างว่ากระจกพิพาทเป็นกระจกที่ตกแต่งด้วยการขัดผิวหรือทำให้ใสแล้ว ดังที่นายวันชัย เอื้อสุวรรณกุล ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่า กระจกที่ยังไม่ได้ตกแต่งผิว เป็นกระจกโรลกลาสหรือกระจกธรรมดาหรือกระจกรีดดังที่ปรากฏลักษณะตามตัวอย่างวัตถุพยานหมาย วจ.1 ซึ่งศาลฎีกาได้เปรียบเทียบกับกระจกพิพาทแล้วเห็นว่า ทั้งคุณสมบัติด้านความเรียบของเนื้อกระจกและความใสเป็นเงามันนั้น แผ่นกระจก หมาย วจ.1 ด้อยกว่า แผ่นกระจกหมาย วจ.2แสดงว่า การผลิตแผ่นกระจกพิพาทใช้กรรมวิธีขั้นสูงกว่า หรือดีกว่าการผลิตกระจกธรรมดา กระจกพิพาทถูกจัดอยู่ในประเภทกระจกชีท(sheet glass) ซึ่งมีกรรมวิธีในการผลิตเป็นการยืดกระจกในแนวตั้งในอ่างโลหะหลอมเหลวและถูกทำให้ใสโดยวิธีไฟร์โพลิช นายวันชัยและนายไต นันชิง ได้เบิกความถึงการทำแผ่นกระจกให้ใส ประกอบกับบทความที่ตัดทอนมาจาก นิตยสาร “ดิ อีโคโมนิสท์” ฉบับลงวันที่24 มกราคม 2502 เอกสารหมาย จ.3 และ “เดอะ นิวไซแอนทิสท์”ฉบับลงวันที่ 22 มกราคม 2502 เอกสารหมาย จ.4 สรุปได้ว่า การผลิตจะต้องเป็นไปตามแบบแผนผัง หมาย จ.15 กล่าวคือ การทำให้ผิวกระจกมีความมันและใสด้วยวิธีไฟร์โพลิชจะประกอบด้วยตัวทำความเย็นสองหน่วย ที่เรียกว่า เมนคูลเลอร์ และเบบี้คูลเลอร์ เริ่มต้นด้วยการนำวัตถุดิบเป็นแถบน้ำ แก้วหลอมเหลวอุณหภูมิ 800 เซลเซียสจากเตาหลอมผ่าน ดรอบาร์เพื่อดึงขึ้นในแนวตั้ง แผ่นกระจกจะเริ่มแข็งตัว และผ่านเมนคูลเลอร์ จนถึงเบบี้คูลเลอร์ เพื่อให้อุณหภูมิของแผ่นกระจกลดลงตามลำดับ จากนั้นจึงถึงช่วงของไฟร์โพลิชโดยใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิงผสมกับอากาศที่ได้สัดส่วนแล้วพ่นไฟดังกล่าวให้เปลวไฟอยู่ห่างแผ่นกระจกประมาณ 1 นิ้ว เปลวไฟดังกล่าวจะเป็นตัวทำให้ผิวหน้ากระจกราบเรียบ และเป็นเงาใส ซึ่งการผลิตด้วยวิธีนี้ถือว่าเป็นการขัดผิวกระจกและทำให้ใสโดยสมบูรณ์แล้วไม่จำต้องใช้เครื่องมือกลเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวซ้ำอีก วิธีไฟร์โพลิชดังกล่าวจึงถือว่าเป็นการทำให้กระจกชีทได้รับการตกแต่ง โดยขัดผิวและทำให้ใสแล้ว หาใช่เป็นกระบวนการของไฟร์โพลิช ก็คงเป็นกระจกธรรมดา เช่น วัตถุพยานหมาย วจ.1 ส่วนที่จำเลยโต้แย้งอีกข้อหนึ่งว่า การวินิจฉัยว่า แผ่นกระจกพิพาทจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทใด จะต้องถือตามคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรของสภาความร่วมมือทางศุลกากร กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยมตามความเห็นของ นายเอช อาซากุระ ผู้อำนวยการพิกัดศุลกากรของสภาซี.ซี.ซี. ที่ระบุว่ากระจกพิพาทจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.05 นั้นเห็นว่า การวินิจฉัยปัญหาพิกัดอัตราศุลกากรที่โต้แย้งในคดี จะต้องอาศัยบทกฎหมายที่มีผลใช้บังคับในขณะที่มีการนำเข้า ซึ่งในขณะนั้นได้แก่พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรพ.ศ. 2503 ความเห็นของเจ้าหน้าที่หรือคำอธิบายพิกัดอัตราศุลกากรของสภาความร่วมมือทางศุลกากรมิใช่กฎหมายเป็นเพียงแนวทางของวินิจฉัยปัญหาเท่านั้น ไม่เป็นข้อลบล้างบทกฎหมายดังกล่าวทั้งปัญหานี้ ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานแล้วว่า สินค้ากระจกแผ่นสีเทา (grey sheet glass) เช่นเดียวกับกระจกพิพาทจัดเข้าในพิกัดอัตราศุลกากร ประเภทที่ 70.06 ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1417/2531 ระหว่าง บริษัท อี.พี.แอล จำกัด โจทก์ กรมศุลกากรกับพวก จำเลย จึงต้องถือว่า กระจกพิพาทเป็นสินค้าในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 70.06 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาอีกประการหนึ่งว่า เจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินราคาสินค้ากระจกพิพาทที่โจทก์นำเข้าตามราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเป็นการปฏิบัติโดยชอบแล้ว สำหรับราคาสินค้าที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้านั้น จำเลยเห็นว่าเป็นราคาที่ต่ำไปจากราคาในท้องตลาดเป็นรายเฉลี่ยซึ่งได้ผ่านการพิจารณาของกองวิเคราะห์ราคาแล้ว ดังนั้น จึงต้องถือเอาราคาดังกล่าวตามบันทึกเอกสารหมาย ล.18 เป็นเกณฑ์เสียภาษี ข้อโต้แย้งดังกล่าวนี้เห็นว่ามูลค่าของสินค้าที่นำเข้ามีราคาเป็นจำนวนใด จะต้องพิจารณาจากพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 2 ที่นิยามคำว่า “ราคา”หรือ “ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด” ว่า “ราคาขายส่งเงินสด”(ในส่วนของขาเข้าไม่รวมค่าอากร) ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้โดยไม่ขาดทุน ณ เวลา และที่นำของเข้า หรือส่งของออกแล้วแต่กรณีโดยไม่มีหักทอน หรือลดหย่อนราคาแต่อย่างใด” ดังนั้นที่กองวิเคราะห์ราคาได้กำหนดราคาในท้องตลาดเป็นรายเฉลี่ยสำหรับกระจกพิพาทไว้ จึงเป็นแนวทางปฏิบัติอย่างกว้าง ๆ ในการประเมินราคาเพื่อเรียกเก็บภาษี มิได้เป็นข้อตายตัวว่าจะต้องเป็นราคาดังกล่าวในขณะมีผู้นำเข้าเสมอไป แต่ได้กำหนดขึ้นเพื่อทราบราคาอันแท้จริงในท้องตลาดในเบื้องแรกว่ามีราคาใดเกี่ยวกับราคากระจกพิพาทนี้ โจทก์นำสืบว่า ราคาของสินค้าที่แท้จริงต่ำกว่าราคาที่จำเลยประเมินไว้ นายวันชัยเบิกความว่า ราคาที่ระบุไว้ในใบขนสินค้าขาเข้า ตามเอกสารหมาย จ.182 ถึง จ.199 ซึ่งนำเข้าระหว่างวันที่21 มกราคม 2528 ถึงวันที่ 6 กรกฎาคม 2528 เป็นราคาเดียวกับที่โจทก์ได้แจ้งไว้ในใบกำกับสินค้าในขณะที่โจทก์ส่งกระจกพิพาทลงเรือดังปรากฏรายละเอียดในใบกำกับ เอกสารหมาย จ.140 ถึง จ.157 ทั้งนี้ในทางปฏิบัติผู้ขายในต่างประเทศจะส่งบัญชีราคาสินค้ามาให้โจทก์ตามที่ขอทราบราคาไป เมื่อโจทก์พอใจราคาแล้วก็จะสั่งซื้อและดำเนินการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่ผู้ขาย หลังจากโจทก์ได้รับสินค้าแล้วจะชำระราคาให้แก่ผู้ขายโดยผ่านธนาคาร บัญชีราคาสินค้าที่นายวันชัยเบิกความถึงมีรายละเอียดตามบัญชีราคาสินค้าเอกสารหมาย จ.121 ถึง จ.126 ส่วนหลักฐานการชำระเงิน ปรากฏตามตั๋วแลกเงินและใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.158 ถึง 175 คำเบิกความของนายวันชัยประกอบเอกสารที่ยกขึ้นกล่าวมาแล้ว เป็นพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักเชื่อได้ว่า โจทก์ได้สั่งซื้อกระจกพิพาทในราคาดังกล่าวจริงไม่มีข้อที่จะโต้แย้งหรือมีเหตุสงสัยว่าเอกสารดังกล่าวทำขึ้นไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะมีผู้เกี่ยวข้องและประโยชน์ได้เสียอีกหลายฝ่ายอาทิผู้รับขนทางทะเล และธนาคารตัวแทนทั้งฝ่ายผู้ขายและฝ่ายผู้ซื้อ ทั้งนี้ราคาสินค้าตามที่ระบุไว้ในใบกำกับสินค้าตั๋วแลกเงิน และใบเสร็จรับเงิน แล้วแต่ละกรณี จะเป็นข้อสำคัญที่ยันผู้เกี่ยวข้องดังกล่าวมิให้โต้เถียงในเรื่องราคาเป็นอย่างอื่นดังนั้น จึงเชื่อว่าราคาสินค้าที่โจทก์ได้สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า จึงน่าจะเป็นราคาที่แท้จริงและถูกต้องกว่าราคาที่กองวิเคราะห์ราคาได้พิจารณา และกำหนดราคาประเมินไว้ ที่จำเลยโต้เถียงอีกประการหนึ่งว่า โจทก์เคยยื่นบัญชีราคาสินค้า เอกสารหมาย ล.5 ไว้ต่อจำเลย เมื่อต่อมาไม่มีการแจ้งถึงการเปลี่ยนแปลงราคา ย่อมถือว่าราคาสินค้ามีราคาเดิมตลอดมา และไม่เปลี่ยนแปลงราคานั้น เห็นว่า บัญชีราคาสินค้า เอกสารหมาย ล.5 โจทก์ได้เสนอให้จำเลยพิจารณาราคาไว้ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2527 โจทก์นำสินค้ากระจกพิพาทเข้าภายหลังอีกประมาณ 1 ปีต่อมา เห็นได้ว่า ราคาย่อมจะเปลี่ยนแปลงได้ตามภาวะของตลาด การที่โจทก์ไม่เสนอราคาที่เปลี่ยนแปลงต่อจำเลยไม่เป็นข้อผูกมัดว่า โจทก์จะต้องปฏิบัติเช่นนั้น และราคาจะต้องตายตัวในราคานั้น เพราะไม่มีบทกฎหมายบัญญัติให้โจทก์ต้องปฏิบัติดังกล่าว การยื่นบัญชีราคาสินค้าไว้ต่อจำเลยเพื่อให้พิจารณาเป็นการอำนวยความสะดวก หรือให้ข้อมูลแก่จำเลยล่วงหน้าที่โจทก์จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการดำเนินพิธีการทางศุลกากร ในการนำเข้าให้เป็นไปโดยรวดเร็ว ส่วนเหตุที่สินค้ากระจกพิพาทมีราคาต่ำลงนั้นโจทก์นำสืบนายพรชัย เอื้อสุวรรณกุล ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศของโจทก์ว่า กรรมวิธีการผลิตกระจกต้องใช้น้ำมันดิบเป็นเชื้อเพลิงในระหว่าง ปี พ.ศ. 2524 ถึง 2528 ราคาน้ำมันดิบลดลงถึงร้อยละ 30ส่งผลให้ค่าระวางเรือลดลงในอัตราประมาณร้อยละ 30 ถึงร้อยละ 40รวมถึงวิธีการบรรจุสินค้าที่โจทก์อาจเลือกเพื่อประหยัดต้นทุนได้หลายวิธีดังที่นายวันชัยเบิกความ ราคากระจกในท้องตลาดทั่วไปจึงลดลงตามข้อนำสืบเช่นนี้ มีเหตุผลและเป็นไปได้ เมื่อพิจารณาประกอบถึงการชำระราคาสินค้าให้แก่ผู้ขายในต่างประเทศ ที่มีวิธีการชำระเงินผ่านธนาคารในรูปของการขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต และอยู่ในความควบคุมและกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นกรณีของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา หรือจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายชำระเป็นราคาสินค้า ข้อเท็จจริงเหล่านี้ฟังได้ว่า โจทก์สำแดงราคาสินค้าที่นำเข้าถูกต้องแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนการประเมิน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาในข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share