คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4162/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองเคยให้การและเบิกความว่าโจทก์ทั้งสองกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่ศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องว่าจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา และเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา แต่ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบไม่มีเหตุผลที่จะชี้ให้เห็นเจตนาอันไม่สุจริตของจำเลยทั้งสองว่านำเอาความเท็จซึ่งควรรู้อยู่แล้วมาแกล้งกล่าวหาโจทก์ทั้งสอง ข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองเห็นว่าโจทก์เป็นคนร้ายหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่ยุติระหว่างคู่ความในคดีปล้นทรัพย์เท่านั้น จะนำมาฟังในคดีนี้ว่าการให้การชั้นสอบสวนและเบิกความในชั้นศาลเป็นการแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จ โดยโจทก์ไม่มีพยานมาสืบว่าความจริงเป็นดังฟ้องอย่างใดหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม 2539 ถึงวันที่ 10 มกราคม 2540 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสองนำข้อความอันเป็นเท็จไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวน การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสองและพนักงานอัยการได้ฟ้องโจทก์ทั้งสองต่อศาล ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย และต่อมาวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2540 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองเบิกความอันเป็นเท็จในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 695/2540 ของศาลชั้นต้นซึ่งพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ทั้งสองกับพวกรวม 3 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยจำเลยทั้งสองนำข้อความอันเป็นเท็จเช่นเดียวกับที่แจ้งต่อพนักงานสอบสวนไปเบิกความต่อศาล ข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดี เพราะอาจเป็นเหตุให้ศาลเชื่อว่าโจทก์ทั้งสองเป็นคนร้ายจริง แม้คดีดังกล่าวศาลจะพิพากษายกฟ้องโดยไม่เชื่อว่าโจทก์ทั้งสองเป็นคนร้าย แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองได้ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองแล้ว เหตุเกิดที่ตำบลหัวไทร อำเภอหัวไทร และอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 83, 91, 172, 177, 181
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 83, 172, 177 วรรคท้าย, 181 (1) (ที่ถูกมาตรา 177 วรรคสอง ประกอบมาตรา 181 (1) แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 181 (1)) เรียงกระทงลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 91 ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา จำคุกคนละ 1 ปี ฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา จำคุกคนละ 2 ปี รวมจำคุกคนละ 3 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จหรือไม่ เห็นว่า มูลเหตุที่โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ก็โดยอาศัยข้อเท็จจริงจากถ้อยคำของจำเลยทั้งสองที่แจ้งต่อพนักงานสอบสวนและเบิกความต่อศาลว่า จำเลยที่ 1 เห็นโจทก์ทั้งสองกับพวกลักโคของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เห็นโจทก์ทั้งสองกับพวกมาเอาโคของจำเลยที่ 1 ไป แต่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ไม่เชื่อว่าจำเลยทั้งสองเห็นคนร้ายที่ลักโคของจำเลยที่ 1 จึงพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองมีร้อยตำรวจเอกอนันต์เบิกความเป็นพยานว่า ได้ไปดูที่เกิดเหตุและเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่า จุดที่จำเลยที่ 1 อ้างว่ายืนดูและมองเห็นคนร้ายสามารถมองเห็นคอกโคได้แต่ไม่ชัดเจน ในคอกมีดวงไฟขนาด 100 แรงเทียนติดอยู่ คอกโคไม่กว้าง ร้อยตำรวจเอกศิริชัยเบิกความเป็นพยานโจทก์ทั้งสองว่า ได้ไปดูที่เกิดเหตุ ห้องน้ำบ้านจำเลยที่ 1 อยู่ติดกับคอกโค ห้องน้ำมีช่องระบายอากาศ หากมองจากภายในห้องน้ำผ่านช่องระบายอากาศสามารถมองเห็นคอกโคได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาตามภาพถ่ายแล้วเห็นว่า ห้องน้ำอยู่ห่างคอกโค 1 เมตรเศษ คอกโคอยู่ต่ำกว่าพื้นห้องน้ำ 1 เมตรเศษ ช่องระบายอากาศด้านซ้ายมือของจำเลยที่ 1 ตามภาพถ่ายคือช่องระบายอากาศด้านที่อยู่ติดกับคอกโค ช่องระบายอากาศดังกล่าวอยู่สูงจากพื้นห้องน้ำ 1 เมตรเศษ เชื่อว่า หากมองจากภายในห้องน้ำผ่านช่องระบายอากาศดังกล่าวน่าจะมองเห็นภายในคอกโคได้ ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์ทั้งสองเบิกความเป็นพยานว่า จำเลยที่ 2 ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนและเบิกความเป็นพยานต่อศาลว่า ขณะจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์อยู่บนถนนสายท่าซอม เพื่อไปตลาดนัดพบโจทก์ทั้งสองกับพวกจูงโค 3 ตัว อยู่ริมถนน ตามบันทึกคำให้การของพยานและสำเนาคำให้การพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองนำสืบดังกล่าวไม่มีเหตุผลที่จะชี้ให้เห็นเจตนาอันไม่สุจริตของจำเลยทั้งสองว่านำเอาความเท็จซึ่งควรรู้อยู่แล้วมาแกล้งกล่าวหาโจทก์ทั้งสอง ข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองเห็นว่าโจทก์ทั้งสองกับพวกเป็นคนร้ายหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่ยุติระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสามในคดีปล้นทรัพย์เท่านั้น จะนำมาฟังในคดีนี้ว่าการที่จำเลยทั้งสองให้การในชั้นสอบสวนกับเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลตรงข้ามกับข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นการแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาสืบว่าความจริงเป็นดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.

Share