แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสามใช้ทางพิพาทมาตั้งแต่มีการขุดลำเหมืองสาธารณะเป็นทางเดินและภายหลังมีการขยายถนนให้กว้างขึ้นตั้งแต่ปี 2528 โดยสภาตำบล เพื่อให้รถอีแต๋นและรถไถนาเข้าไปในที่นาของโจทก์ทั้งสาม เมื่อนับถึงวันที่จำเลยนำเสาปูนไปปักแสดงสิทธิในที่ดินของจำเลยเมื่อเดือนกันยายน 2543 รวมระยะเวลาเกินกว่า 10 ปี โจทก์ทั้งสามจึงได้ภาระจำยอมในทางพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอม และให้จำเลยไปจดทะเบียนเป็นทางภาระจำยอม หากจำเลยไม่ยินยอมก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยรื้อถอนเสาปูนที่จำเลยปักบนถนนเลียบลำเหมืองออก หากจำเลยไม่รื้อถอนให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอนเองได้ โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ห้ามจำเลยยุ่งเกี่ยวกับทางพิพาท
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับเป็นว่า โจทก์ทั้งสามได้ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมโดยอายุความ ให้จำเลยไปจดทะเบียนสิทธิภาระจำยอมแก่โจทก์ทั้งสามหากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยรื้อถอนเสาปูนเปิดทางพิพาทและห้ามยุ่งเกี่ยว คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นที่ยุติได้ว่าโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 เป็นสามีภริยากัน โดยโจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 111 ตำบลหนองกระโดน อำเภอปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ โจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 109 ตำบลหนองกระโดน อำเภอปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ส่วนจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 112 ตำบลหนองกระโดน อำเภอเมืองนครสวรรค์ (ปากน้ำโพ) จังหวัดนครสวรรค์ ที่ดินของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 3 และจำเลยอยู่ติดต่อกัน ที่ดินทั้งสามแปลงใช้ทำนาปลูกข้าวโดยทางด้านทิศเหนือของที่ดินโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 3 และจำเลยมีถนนเลียบลำเหมืองสาธารณประโยชน์ โดยถนนดังกล่าวเกิดจากการขุดดินในลำเหมืองสาธารณประโยชน์ครั้งแรกเมื่อปี 2528 มีความกว้างประมาณ 2 เมตร โจทก์ทั้งสามและชาวบ้านซึ่งมีที่ดินอยู่ทางด้านในใช้เป็นทางสัญจรและเป็นทางเกวียน รถอีแต๋นสามารถวิ่งผ่านเข้าไปได้ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทั้งสามนำสืบไม่ได้ว่าได้ใช้ทางพิพาทมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ใด และมีการใช้ทางพิพาทเหลื่อมล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยหรือไม่ และโจทก์ทั้งสามใช้เส้นทางพิพาทเฉพาะเมื่อฤดูทำนาเท่านั้น เมื่อสิ้นฤดูทำนาโจทก์ทั้งสามไม่ได้ใช้เส้นทางล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลย โจทก์ทั้งสามใช้ทางพิพาทล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลยเฉพาะในฤดูทำนาเมื่อจำเลยอนุญาต เห็นว่า โจทก์ทั้งสามเบิกความทำนองเดียวกันว่าการเดินทางเข้าไปยังที่ดินของโจทก์ทั้งสามนั้นต้องผ่านทางพิพาทซึ่งเป็นทางที่ทำขึ้นโดยขุดดินจากลำเหมืองสาธารณประโยชน์ขึ้นมาทำเป็นแนวทางเดินและต่อมามีการขยายทางพิพาทเข้าไปในเขตที่ดินของจำเลยกว้างประมาณ 6 เมตร โดยสภาตำบลได้ปรับปรุงขยายพื้นที่ลำเหมือง มีการถมทางเดินให้กว้างขึ้นและรถยนต์สามารถวิ่งผ่านเข้าออกไปยังที่ดินของโจทก์ได้ ในฤดูทำนามีการใช้รถอีแต๋นเข้าไปเกี่ยวข้าวซึ่งมีความกว้างเช่นเดียวกับรถยนต์กระบะปิกอัพ และนายจำรัส พยานโจทก์ทั้งสามเบิกความว่า พยานเคยเช่าที่นาของนางจำเริญ มานานประมาณ 14 ปี และได้ใช้เส้นทางพิพาทผ่านที่นาของจำเลยไปยังที่นาที่พยานเช่าเป็นถนนดินมีความกว้างประมาณ 4 เมตร มีการนำรถไถนาเข้าไปสูบน้ำในนา โดยแนวที่ดินของจำเลยที่ติดกับถนนมีความยาวประมาณ 20 วา ไม่มีการกั้นรั้วรอบเขตที่ดินของจำเลย ทั้งจำเลยนำสืบรับว่า เดิมทางพิพาทเป็นทางเดินขอบเหมืองซึ่งมีความกว้างประมาณ 1 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินของจำเลยประมาณ 20 วา แต่รถยนต์ไม่สามารถแล่นผ่านได้ โจทก์ทั้งสามจึงขอใช้ที่ดินของจำเลยขยายทางเข้ามาอีก 1 เมตร ตลอดแนวถนน โจทก์ทั้งสามจะใช้เส้นทางดังกล่าวผ่านเมื่อถึงฤดูทำนาเก็บเกี่ยวพืชผล ซึ่งทำให้รถอีแต๋นสามารถวิ่งเข้าออกได้ และจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ทั้งสามถามค้านว่า มีการขุดลำเหมืองถมถนนทางด้านเหนือที่ดินของจำเลย 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี 2528 ถนนมีความกว้างประมาณ 2 เมตร ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ทั้งสามใช้ทางพิพาทล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลยเพราะได้รับความยินยอมจากจำเลยนั้น ข้อนี้ทนายจำเลยมิได้ถามค้านพยานโจทก์ให้ได้ความชัดแจ้งว่าโจทก์ทั้งสามได้ขออนุญาตจากจำเลยในการใช้ที่ดินของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสามเข้าไปในที่ดินทางถนนดังกล่าวโดยมีการใช้ทางพิพาทมาตั้งแต่มีการขุดลำเหมืองสาธารณะเป็นทางเดินและภายหลังมีการขยายถนนให้กว้างขึ้นตั้งแต่ปี 2528 โดยสภาตำบลเพื่อให้รถอีแต๋นและรถไถนาเข้าไปในที่นาของโจทก์ทั้งสาม เมื่อนับถึงวันที่จำเลยนำเสาปูนไปปักแสดงสิทธิในที่ดินของจำเลยเมื่อเดือนกันยายน 2543 รวมระยะเวลาเกินกว่า 10 ปี โจทก์ทั้งสามจึงได้ภาระจำยอมในทางพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ