แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางพิเศษ มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 290 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 23 วรรคท้าย ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยทางหลวงในส่วนที่ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางหลวงมาใช้บังคับโดยอนุโลม และประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515เกี่ยวกับเงินค่าทดแทนในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางหลวง บัญญัติไว้ในข้อ 76 ว่า “เงินค่าทดแทนนั้น ถ้าไม่มีบทบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งออกตามข้อ 63 แล้วให้กำหนดเท่าราคาของทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันดังต่อไปนี้(1) ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับในกรณีที่ได้ตราพระราชกฤษฎีกาเช่นว่านั้น ฯลฯ” จำเลยจะกำหนดเงินค่าทดแทนให้ต่ำกว่านี้โดยถือตามบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของกรมที่ดินหาได้ไม่
การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าทดแทนที่ดินจากจำเลยเป็นคดีนี้ มีมูลเหตุมาจากที่ดินโจทก์ถูกเวนคืน มูลคดีจึงเกิดขึ้นที่ที่ดินโจทก์ตั้งอยู่ การที่ศาลแพ่งธนบุรีซึ่งที่ดินโจทก์ตั้งอยู่ในเขตศาลอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีได้นั้นชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์สองแปลงถูกเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตบางขุนเทียน เขตราษฎร์บูรณะ และเขตยานนาวากรุงเทพมหานคร พ.ศ.๒๕๒๕ เพื่อสร้างทางพิเศษสายดาวคะนอง – ท่าเรือ จำเลยกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์รวมเป็นเงิน ๖๙๗,๒๕๐ บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่เป็นธรรมและไม่ได้คำนวณจากราคาซื้อขายในท้องตลาดขณะเวนคืนตามกฎหมาย ขอให้จำเลยชำระเงินค่าทดแทนส่วนที่ขาดจำนวน ๑,๖๑๗,๗๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับ
จำเลยให้การว่า ค่าทดแทนที่จำเลยชดใช้ให้แก่โจทก์เป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว และตามฟ้องโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้บังคับจำเลยรับผิดเกี่ยวด้วยหนี้เหนือบุคคลโจทก์ชอบที่จะเสนอคำฟ้องต่อศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขต และมูลคดีที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าทดแทนเพิ่มขึ้น เกิดขึ้นที่ภูมิลำเนาของจำเลยผู้เวนคืน มิได้เกิดขึ้นในเขตที่ที่ดินตั้งอยู่ ที่โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตฟ้องคดีต่อศาลแพ่งธนบุรีและศาลแพ่งธนบุรีมีคำสั่งอนุญาตให้รับฟ้องไว้พิจารณาจึงไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๘๘๙,๕๕๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๕ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์เพิ่มขึ้นอีก๙๙,๓๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๕ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์จำเลยนำสืบว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๔๙ และเลขที่ ๒๖๔๕ ตั้งอยู่แขวงราษฎร์บูรณะ(ราษฎร์บูรณะตะวันออก) เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๔๔ ตารางวา และ ๓๓๑ตารางวา ตามลำดับ เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๒๕ กระทรวงมหาดไทยออกประกาศให้สร้างทางพิเศษสายดาวคะนอง – ท่าเรือ ซึ่งจะต้องผ่านที่ดินในท้องที่เขตบางขุนเทียน เขตราษฎร์บูรณะและเขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ปรากฏตามประกาศเอกสารหมาย ล.๕ ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณท้องที่ดังกล่าวเป็นบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อสร้างทางพิเศษสายดังกล่าว ใช้บังคับวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๕ ปรากฏตามพระราชกฤษฎีกาเอกสารหมาย ล.๖ ที่ดินโจทก์ทั้งสองแปลงอยู่ในบริเวณที่ที่จะถูกเวนคืน จำเลยได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองแปลงเป็นสองราคา ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๔๙ ในส่วนที่ติดถนนสุขสวัสดิ์ระยะ ๒๐ เมตร กำหนดค่าทดแทนให้ตารางวาละ ๑๑,๐๐๐ บาท ที่ดิน ๓๖ ตารางวาเป็นเงิน ๓๙๖,๐๐๐ บาท ในส่วนถัดไปอีก ๘ ตารางวา กำหนดให้ตารางวาละ ๕,๒๐๐ บาทเป็นเงิน ๔๑,๖๐๐ บาท รวมเป็นค่าทดแทนที่ดินแปลงนี้ ๔๓๗,๖๐๐ บาท ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่๒๖๔๕ อยู่ติดซอย กำหนดค่าทดแทนระยะ ๒๐ เมตร ตารางวาละ ๙๐๐ บาท ที่ดิน ๑๗๘ ตารางวาเป็นเงิน ๑๖๐,๒๐๐ บาท ที่ดินในส่วนถัดไปกำหนดค่าทดแทนตารางวาละ ๖๕๐ บาท ที่ดิน๑๕๓ ตารางวา เป็นเงิน ๙๙,๔๕๐ บาท รวมเป็นค่าทดแทนสำหรับที่ดินแปลงนี้ ๒๕๙,๖๕๐ บาทและรวมเป็นค่าทดแทนที่จำเลยชดใช้ให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น ๖๙๗,๒๕๐ บาท
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาข้อแรกที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าที่ดินโจทก์มีราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดเท่าใด ในข้อนี้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่๒๙๐ ลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ข้อ ๒๓ วรรคสุดท้าย ความว่า การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางพิเศษ ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยทางหลวงในส่วนที่ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางหลวงมาใช้บังคับโดยอนุโลม และประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ เกี่ยวกับเงินค่าทดแทนในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางหลวง บัญญัติไว้ในข้อ ๗๖ ว่า “เงินค่าทดแทนนั้น ถ้าไม่มีบทบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งออกตามข้อ ๖๓ แล้ว ให้กำหนดเท่าราคาของทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันดังต่อไปนี้
(๑) ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับในกรณีที่ได้ตราพระราชกฤษฎีกาเช่นว่านั้น ฯลฯ” ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่๒๖๔๙ ของโจทก์อยู่ติดถนนสุขสวัสดิ์ กว้างขนาด ๔ ช่องทางเดินรถ ตรงกลางมีเกาะกลางถนนไฟฟ้าและน้ำประปาเข้าถึง เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๓ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๔๒๐ ซึ่งอยู่ติดถนนสุขสวัสดิ์ห่างจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๔๙ ของโจทก์ประมาณ๔๐๐ เมตร จากนายเสริม โรหิตเสถียร ในราคาตารางวาละประมาณ ๑๕,๐๐๐ บาท วันที่ ๙กรกฎาคม ๒๕๒๔ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด ได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๐๓๕ ซึ่งอยู่ติดถนนสุขสวัสดิ์ห่างจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๔๙ ของโจทก์ ประมาณ ๘๐๐ เมตร จากนางละม่อม สุทธิวรรณกับพวก ในราคาตารางวาละ ๓๕,๐๐๐ บาท และยังมีเจ้าของที่ดินรายอื่นที่อยู่ใกล้เคียงขายที่ดินพร้อมตึกแถวไป เมื่อคิดหักราคาตึกแถวออกแล้ว ราคาที่ดินที่ขายตารางวาละ๑๘,๐๐๐ บาทขึ้นไป จึงรับฟังได้ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๔๙ ของโจทก์มีราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดไม่ต่ำกว่าตารางวาละ ๑๕,๐๐๐ บาท ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๔๕ ของโจทก์นั้น มีทำเลดีกว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๓๖๔ และเลขที่ ๒๔๘๗๔ ของนางวัลลีย์ นันทวะกุลซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน เพราะที่ดินของโจทก์มีทางออกสู่ถนนสุขสวัสดิ์ ส่วนที่ดินของนางวัลลีย์ไม่มีทางออกสู่ถนนสุขสวัสดิ์ เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๔ นางวัลลีย์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๓๖๔จากนางจารุวรรณ นิติโรจน์ และที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๔๗๘๔ จากนายจุมพฎ วิริยศิริ ในราคาตารางวาละ ๒,๘๐๐ บาท และจำเลยกำหนดค่าทดแทนให้แก่นางวัลลีย์ในราคาดังกล่าวจึงรับฟังได้ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๔๕ ของโจทก์มีราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดสูงกว่าตารางวาละ ๒,๘๐๐ บาท ศาลอุทธรณ์กำหนดเงินค่าทดแทนราคาที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๔๙ของโจทก์ตารางวาละ ๑๕,๐๐๐ บาท และที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๔๕ ของโจทก์ตารางวาละ๓,๑๐๐ บาท จึงเหมาะสมแล้ว จำเลยจะกำหนดเงินค่าทดแทนให้ต่ำกว่านี้โดยถือตามบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของกรมที่ดินหาได้ไม่
ปัญหาข้อต่อไปที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า คดีนี้มูลคดีเกิดขึ้นที่ใด เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าทดแทนที่ดินจากจำเลยเป็นคดีนี้ มีมูลเหตุมาจากที่ดินโจทก์ถูกเวนคืน มูลคดีจึงเกิดขึ้นที่ที่ดินโจทก์ตั้งอยู่ การที่ศาลแพ่งธนบุรีซึ่งที่ดินโจทก์ตั้งอยู่ในเขตศาลอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีได้นั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน.